ว่าจะเขียนเรื่องนี้ตั้งแต่สองสัปดาห์ที่แล้ว แล้วล่ะ
ผมนั่งดูรายการเจาะใจ ช่อง 5 คืนวันพฤหัส 21 สิงหาคม
บุคคลที่ได้รับเชิญมาเป็นเจ้าของเรื่องราววันนั้นน่าสนใจครับ
เขาชื่อ โจน นามสกุล จันได
หนุ่มยโสธร ที่ (เกือบ) จบการศึกษาจากนิติศาสตร์ รามคำแหง
จั่วหัวเรื่องไว้ว่า โจน จันได คนจนผู้ยิ่งใหญ่..
เขาเป็นคนที่กินอยู่พอเพียง ปลูกข้าวปลูกผักกินเอง
สร้างบ้านจากดินเพื่ออยู่เอง มีเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้น และไม่สะสมเงิน
เรื่องราวของเขาที่เล่าปนรอยยิ้มอย่างมีสุขในรายการ ก็มีอยู่ว่า
เขาเป็นเด็กเกิดในครอบครัวชาวนาที่ยโสธร
ก็เหมือนเด็กๆ ทั่วไปที่ต้องการมีชีวิตสุขสบาย อยากอยู่ในเมือง
เขาก็ร่ำเรียนมาแล้วมาเรียนต่อนิติศาสตร์ ที่กรุงเทพฯ
โดยอาศัยอยู่กับวัด กินข้าววัด และทำงานพิเศษหาเงินค่าเรียน
เรียนๆ ไปเขาก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองสองอย่าง
1. คนเราจำต้องไหลไปตามกระแสส่วนใหญ่ของสังคม จริงหรือ
... ทั้งที่เราไม่ชอบ เราก็จำเป็นต้องแต่งตัว เที่ยว ตามเพื่อนๆ
เพื่อป้องกันคำครหานินทางั้นหรือ..
2. คนเราเรียนมากๆ แล้วจะทำงานดีๆ ได้เงินเยอะๆ จริงหรือ
แล้วการมีเงินเยอะมันคือเป้าหมายของชีวิตงั้นหรือ
มีเงินเยอะทำให้มีความสุขจริงหรือเปล่า
การที่เราทำงานหนัก จะทำให้ลูกเมียเรามีความสุขจริงหรือ..
เขาตอบไม่ได้ครับ
แต่เขาเป็นคนชอบคิด และเขาก็ใช้ความคิดมาตลอด
ขณะที่ยังคิดไม่ตกเขาก็ร่ำเรียนต่อไป
แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ตัดสินใจ เลิกเรียนเลิกสอบ..
เขาไปอยู่ในป่าที่เชียงใหม่ครับ
มีเงินเก็บอยู่หมื่นบาท ซื้อที่จากเพื่อนแล้วไปอยู่ป่าคนเดียว
เก็บผลไม้เก็บหน่อไม้กินเอา อยู่กระท่อม ไม่มีไฟฟ้าไม่มีประปา
เขาไปอยู่ลำพังเพื่อหาคำตอบให้ตัวเอง..
ไปทดลองอยู่กับตัวเอง โดยไม่มีคนอื่น ไม่มีเมือง
ไม่มีความสะดวกสบาย ไม่มีสิ่งใดกวนใจ
เขาอยู่ได้ 6 เดือน โดยระยะหลังๆ ไม่ใส่เสื้อผ้าเลยด้วยซ้ำ
เขาเอาชนะความกลัวสิ่งต่างๆ ได้หมดแล้ว
แต่ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า ตกลงระบบทุนนิยม วัตถุนิยม ในเมือง มันดีหรือไม่
พอมีปัญหากับตำรวจและพวกลักลอบปลูกฝิ่นชายแดน เขาก็เลยกลับ..
เขากลับมาทำงานในโรงแรมที่กรุงเทพสักพัก แล้วก็พบว่าไม่ชอบจริงๆ
ก็ย้ายไปอยู่ภาคใต้กับญาติ ซึ่งมีอาชีพกรีดยางพาราขาย
ไปช่วยกรีดสักพัก เขาพบแล้วว่า
ที่จริงคนเราทำงานไป หาเงินไป ก็ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง
คนเราทำงานหนัก ไม่ได้ทำให้ครอบครัวอบอุ่นขึ้นเลย
การหาเงินมาได้เยอะๆ ไม่ได้ทำให้มีความสุขจริง..
คนเราสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข โดยไม่ต้องพึ่งเงินด้วยซ้ำ
... เขาเลือกกลับไปอยู่ยโสธรบ้านเกิด
เขาปลูกบ้านจากดินเหนียวเพื่ออยู่เอง อยู่แบบเย็นสบาย
เขาไม่เก็บเงิน แต่เลือกปลูกผักปลูกข้าวกินเอง..
เขาบอกว่า เงินเก็บไว้ก็เอาแน่เอานอนไม่ได้
แต่ข้าวและพืชผักเหล่านี้สิ ปลูกไว้แล้วเลี้ยงชีวิตเราได้ สบายใจกว่า..
เขาได้เสื้อผ้าจากการบริจาคอยู่สองสามชุด และก็ใช้งานจนหมดสภาพจริงๆ
ปัจจุบันนอกจากการอยู่กับธรรมชาติอย่างมีความสุขแล้ว
เขายังได้รับเชิญจากหลายงาน ให้ไปสอนการปลูกบ้านจากดินเหนียว
โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายสักบาท ขอแต่ต่ารถเดินทาง เพราะเขาไม่มีเงินเลย..
โจน จันได ไม่ใช่คนเสียสตินะครับ
เขาท่างทางสุภาพ สะอาด มีอารมณ์ขัน พูดคุยสนุก ความคิดและการพูดเข้าท่า..
จากการที่ผมนั่งดูการเล่าเรื่อง การตอบคำถาม และอากัปกิริยาของเขา
ผมว่าเขาเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุดคนหนึ่ง..
เขาชนะแล้วครับ.. ชนะใจตัวเอง ชนะกระแสสังคม ชนะระบบเงินตรา
ความคิดของเขาไปถึงจุดที่คิดตกแล้ว ทางที่เขาเลือกทำอยู่นั้นผมเห็นด้วย
ผมก็เคยคิดนะครับ และผมว่าพวกเราหลายคนเคยคิด.. แต่ไม่มีใครทำ..
เรียกว่าไม่มีใครสามารถทำได้มากกว่า เพราะเรายังมีห่วงกันอยู่
ถ้าผมลาสังคมไปแบบนั้น คนรอบข้างจะเป็นยังไง..
โจน จันได คงเป็นคนหนึ่งที่หลายคนในสังคมอิจฉา
เขาเป็นตัวแทนส่วนหนึ่งของจิตใจหลายๆ คน..
ส่วนที่อยากหนีเมืองไปให้ไกล ส่วนที่ต้องการอยู่อย่างสงบกับธรรมชาติ..
นอกจาก พี่จิก ประภาส, พี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง, พี่ตั้ม วิศุทธิ์, และอื่นๆ..
โจน จันได.. ผมยกให้เป็นฮีโร่ในดวงใจผมเพิ่มอีก 1 คน ครับ..
ป.ล. ผมขอทายเอาไว้ตรงนี้เลยว่า
อีกไม่นาน บ้านดิน จะกลายเป็นแฟชั่นใหม่ที่ใครๆ ต้องพูดถึง..
นวย