0526
[5] น้ำมันมวยกะยานู
แสดงทั้งหมด

[6] ชัวร์ป้าบเลยหมอตอบ: 2, อ่าน: 1609

ห มู่ บ้ า น เ ส มื อ น   ต อ น ที่  6

-1-

     ไม่ว่าจะที่ชุมชนใด ย่อมมีความเจ็บป่วยเกิดขึ้นกับชาวบ้านบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ที่หมู่บ้านแห่งนี้ก็เช่นกัน ตั้งแต่อดีตมีคุณหมอจากต่างถิ่นเข้ามาเปิดคลีนิครักษาคนไข้อยู่หนึ่งคน นามว่า "หมอเลิฟ" ทีแรกชาวบ้านไม่ค่อยชอบเขา จากความคลางแคลงใจว่าหมอเลิฟอาศัยการเดาไปเรื่อย มีถูกบ้างและมีผิดบ้าง เมื่อวินิจฉัยผิดและคนไข้อาการแย่ลง ก็ขออภัยว่าผมรักษาสุดฝีมือแล้ว โรคนี้อาการหนักเกินเยียวยาจริงๆ ครั้นเมื่อวินิจฉัยแม่นยำ การรักษาได้ผลดี ก็ได้รับคำชื่นชมจากคนไข้ราวกับเป็นหมอเทวดา.. แต่อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านทุกคนก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไปหาเขาเมื่อเจ็บป่วย เพราะทั้งหมู่บ้านมีหมออยู่เพียงคนเดียว

     ในภายหลังหมอเลิฟเริ่มวินิจฉัยอาการได้แม่นยำขึ้น ชาวบ้านจึงมอบความเชื่อใจให้แก่เขามากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ยังมีผู้ไม่ค่อยแน่ใจว่าเขาวินิจฉัยแม่นยำขึ้นจริงๆ หรือเริ่มพูดให้กว้างครอบจักรวาลมากขึ้นเพื่อให้ตนเองรอดพ้นจากการถูกด่ากันแน่ แต่ที่แน่นอนคือตอนนี้เขากลายเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านส่วนใหญ่สมชื่อของเขาไปแล้ว

     หมอเลิฟมีลีลาการวินิจฉัยโรคที่น่าประทับใจไม่น้อย เขาจะเริ่มจากการวิเคราะห์อาการอย่างนุ่มนวลเพื่อไม่ให้คนไข้ตกใจ ตัวอย่างเช่น
"ข้าเป็นอะไรหรือท่านหมอเลิฟ.."
"ก่อนอื่น ท่านคงทราบว่าเมื่อเราใช้งานอวัยวะส่วนใดหนักเกินไป อวัยวะส่วนนั้นย่อมสึกหรอได้ง่ายกว่าส่วนอื่น และมนุษย์เราก็มีอวัยวะที่ใช้งานหนักกว่าส่วนอื่นแตกต่างกันไปตามแต่ละคน ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าการจะใช้ทุกส่วนให้หนักเท่าๆ กัน มันเป็นไปมิได้.." หมอเว้นวรรคหายใจ คนไข้พยักหน้ารับฟังด้วยดี
"..ในกรณีของท่านเองนั้น อวัยวะที่ท่านใช้งานหนักเป็นพิเศษก็คงไม่พ้นอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดของเสียในร่างกาย เนื่องด้วยท่านอาจมิทันได้ระวังเรื่องอาหารการกิน โอ้..ไม่ ไม่ ท่านมิได้ผิดอันใด เพราะคนเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตอยู่แล้ว เราต่างก็ดำรงอยู่ไปได้อย่างมากไม่ถึง 100 ปี ท่านจะถนอมอวัยวะทุกชิ้นส่วนให้ใหม่อยู่เสมอจนถึงวันนั้นไปเพื่อเหตุใดกันเล่า.. ฯลฯ"
เขาใช้เวลาประมาณ 10 นาที จึงจะไปถึงประโยคที่ระบุว่าคนไข้คนนั้นเป็นโรคไต ไม่แน่ใจว่าคนไข้จะทันจับประเด็นหรือไม่ เพราะดูน่าจะฟังเพลินจนลืมกลัวอาการเจ็บป่วยไปเลย จากนั้นหมอเลิฟจะแถมวิธีการปฏิบัติตนเพื่อหลีกเลี่ยงอาการของโรค หรือให้เกิดน้อยที่สุดด้วย และที่สำคัญ เมื่อเขาเล่าจนครบถ้วนกระบวนความ เขาจะกล่าวสรุปใจความสั้นๆ อีกครั้ง และเอ่ยทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงกระชับ หนักแน่น ว่า 'ยืนยัน!'

     "สรุปว่า ท่านทานอาหารมิได้ระวัง ท่านจึงเป็นโรคไต.. ยืนยัน!"
ดูเหมือนว่าที่หมอเลิฟเพียรนุ่มนวลและยืดยาวมาตั้งแต่ต้น มันจะมาสะดุ้งเอาก็ตอนที่หมอ 'ยืนยัน!' นี่แหละ

     การพูดเช่นนี้เป็นสิ่งที่ชาวบ้านไม่คุ้นเคยในช่วงแรก แต่ ณ ปัจจุบันคำนี้กลายเป็นวลียอดนิยมในหมู่ชาวบ้านไปเสียแล้ว โดยเฉพาะเวลาที่ใครนินทาคนอื่นหรือนำข่าวที่ไม่ค่อยน่าเชื่อมาเล่าสู่กันฟัง หากกล่าวเสริมท้ายว่า 'ยืนยัน!' เรื่องที่เล่านั้นจะฟังดูน่าเชื่อถือขึ้นกว่าเดิมมาก ส่วนหนึ่งอาจเพราะนี่เป็นคำพูดของหมอเลิฟที่วินิจฉัยโรคได้แม่นยำก็เป็นได้ ซึ่งต้องนับว่าหมอเลิฟใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการเข้าไปอยู่ในใจผู้คนได้อย่างอยู่หมัดทีเดียว

     เมื่อไม่กี่เดือนก่อน มีคุณหมอหนุ่มไฟแรงเพิ่งจบการศึกษาจากนอกหมู่บ้านมาใหม่ๆ เขากลับมาที่บ้านเกิดเพื่อเปิดคลีนิครักษาโรคทั่วไปขึ้นอีกแห่ง และดูจะมาพร้อมความมั่นใจในตัวเองระดับเกินพิกัด เขาเป็นคนพูดจาเสียงดัง โผงผาง มั่นใจว่าตนเองเก่งอย่างออกนอกหน้า และไม่มีความสุภาพนุ่มนวลในน้ำเสียงเอาเสียเลย เรียกได้ว่าบุคลิกตรงข้ามกับหมอเลิฟโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่ครั้งแรกที่มีการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ณ ร้านกาแฟประจำหมู่บ้าน ชาวบ้านทั้งหลายก็เริ่มไม่ชอบหน้าเขาในทันที แม้แต่โฆษกประจำหมู่บ้านที่ขึ้นชื่อว่าพูดแรง พูดตรง ไม่เกรงใจใคร และกัดเจ็บจนได้ฉายาว่า 'โฆษกมดตะนอย' เมื่อได้สัมภาษณ์หมอหนุ่มไม่กี่นาที ก็ถึงกับนิ่งสลดเลยทีเดียว

     ขอแนะนำพระเอกของเราในวันนี้ เขาชื่อ กีนา ขอเรียกย่อๆ ตามชาวบ้านว่า 'หมอกิ' ก็แล้วกัน และนี่เป็นส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ในวันนั้น
"..ท่านหมอกิคิดว่าเมื่อแสดงลีลาท่าทางแบบนี้แล้ว ผู้คนจะให้ความสนใจ ใช่หรือไม่"
"หามิได้ ข้าก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วปกติ ชัวร์ป้าบ! ข้าจะเสแสร้งเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเหตุใด" หมอกิพูดเสียงดังกว่าโฆษกเล็กน้อย และพยายามโน้มตัวมาข้างหน้าทุกประโยคที่พูด แลดูทุลักทุเลอยู่พอสมควร

     "เป้าหมายในเรื่องงานของท่านคือสิ่งใด"
"คอยดูนะท่านโฆษก ภายในสองปีนี้ทุกคนในหมู่บ้านจะต้องรู้จักข้า ในฐานะของหมอที่วินิจฉัยโรคแม่นยำที่สุด!.." หมอกิเริ่มชี้นิ้วพุ่งเข้าหาคนที่เขาพูดด้วย ทั้งโฆษกและคนดู "..ข้าจะดังที่สุดในหมู่บ้าน ชัวร์ป้าบ! ฮ่าๆๆ"
"ในหมู่บ้านก็มีหมอแค่สองคนนี่แหละ จะดังไปไหน" ไจเดที่ไปนั่งฟังอยู่ตรงนั้นด้วยกัน หันมาพูดกับผมด้วยมาดกวน
โฆษกยังคงดำเนินรายการต่อ จนกระทั่ง..
"คำถามสุดท้าย ข้าสงสัยเหลือเกินว่าเหตุใดท่านต้องพูดจาเสียงดังด้วย"
หมอกิตะเบ็ง "ข้าก็พูดเบาที่สุดแล้ววว.."
"ท่านยืนยันว่าเป็นปกติของท่าน แม้ตอนที่มิได้อยู่หน้าชาวบ้านแบบนี้ จริงหรือ"
หมอกิตะโกนสุดเสียง "ช่ายยย.. กับผู้ใหญ่ที่บ้านนนน ข้าก็พูดเช่นเนี้ยยย.. ชัวร์ป้าบบบบบ!"
ตอนนี้ทั้งโฆษกมดตะนอยและชาวบ้านที่มาฟัง ล้วนยกมือขึ้นมาอุดหูกันหมด

     หมอกิดำเนินกิจการคลีนิคไปได้สักระยะหนึ่ง มีชาวบ้านไปพบเขาบ้างประปราย และเริ่มคุ้นชินกับการวินิจฉัยโรคของเขา หมอกิมีลีลาการพูดยืนยันตอนท้ายที่คล้ายหมอเลิฟอยู่ไม่น้อย เพียงเปลี่ยนคำจาก 'ยืนยัน!' มาเป็น 'ชัวร์ป้าบ!' เท่านั้น เขาคงหวังว่าการใช้คำฝรั่งจะเอาใจวัยรุ่นในหมู่บ้านที่ชอบอะไรทันสมัยๆ ได้ และดูเหมือนเขาจะพยายามพูดคำนี้มากเกินไปหน่อยแล้ว แต่เมื่อมีใครถามถึงความคล้ายคลึงกันในเรื่องนี้ หมอกิจะยืนยันคำเดิมเสมอว่าเขาไม่ได้เลียนแบบใคร นั่นเป็นลักษณะการพูดปกติของเขาอยู่แล้ว ทั้งที่ใครจะดูอย่างไรก็เห็นว่าเขาพยายามเลียนแบบหมอเลิฟอยู่ดีก็ตาม

     ดูท่าทางหมอกิจะรังเกียจข้อครหาว่าเหมือนคนอื่นอยู่ไม่น้อย เพราะแม้แต่เรื่องการวินิจฉัยอาการต่างๆ เขายังบอกใครอยู่เสมอว่า เป็นวิธีการที่คิดขึ้นมาเองทั้งหมด ไม่ได้ทำตามตำราใดๆ จึงรับประกันได้ว่าไม่ซ้ำใครแน่นอน จริงอยู่ที่ความคิดที่เป็นของตัวเองโดยแท้จริงย่อมมีคุณค่ามาก แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงคิดว่าการเหมือนคนอื่นเป็นสิ่งที่เลวร้ายถึงขนาดยอมรับไม่ได้เช่นนี้

     และไม่ว่าหมอกิจะพูดจาคล้ายหมอเลิฟขนาดไหน ที่แน่ๆ เคล็ดลับการวินิจฉัยให้กว้างๆ เพื่อเซฟตัวเองของหมอเลิฟนั้น หมอกิไม่น่าจะทราบ หรือถ้าทราบก็ไม่คิดจะปฏิบัติตามอยู่แล้ว เพราะหมอกิจะพูดตรงตลอดเวลา โดยไม่คิดถนอมน้ำใจของคนไข้เลย ในบางครั้งไม่ทันจะฟังอาการ เพียงเห็นสีหน้าคนไข้ที่กำลังหย่อนก้นลงนั่งเก้าอี้ไม่เรียบร้อยดี หมอกิก็ชิงวินิจฉัยเสียก่อนแล้ว.. "ท่านเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวระยะที่สอง ในไขกระดูกสันหลังข้อที่สี่! ชัวร์ป้าบ!"

     หลังจากการปรากฏกายเป็นส่วนหนึ่งในหมู่บ้านของหมอกิ จะเห็นได้ชัดว่าไม่มีใครชมชอบเขาเลย หนำซ้ำการมีข้อเปรียบเทียบกลับยิ่งเพิ่มความนิยมในตัวหมอเลิฟขึ้นไปกว่าเดิมอีกด้วย ทำให้หมอกิเป็นทุกข์ใจในเรื่องนี้ยิ่งนัก.. ผมไม่แน่ใจว่า เขาไม่ทราบว่าเรื่องนี้มีเหตุจากบุคลิกทั้งหมดของเขาเอง หรือเขาทราบดีแต่ยังคงเชื่อมั่นเหลือเกินว่าเป็นเอกลักษณ์ของตน ที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใด ก็ไม่มีใครได้รับผลเสียจากเรื่องนี้นอกจากตัวเขาเองอยู่แล้ว จึงไม่มีชาวบ้านใส่ใจในความทุกข์ของเขาเลยสักนิด

     หมอกิเปรยกับคนไข้คนหนึ่งว่าเขาต้องทำอะไรลงไปสักอย่างแล้ว



-2-

     ลูดีเป็นหญิงสาวขายเสื้อผ้าในหมู่บ้าน ที่กำลังได้รับความนิยมและเป็นที่กล่าวถึงอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงเพราะเธอเป็นคนรูปร่างหน้าตาดี แต่เสื้อผ้าที่เธอขายต่างหากที่ยังคงเป็นเหตุผลหลัก รูปแบบเสื้อผ้าเหล่านั้นอาจดูคล้ายเสื้อผ้าวัยรุ่นที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป หากแต่มันได้ผ่านการเจือกลิ่นอายความเป็นฝรั่งลงไปนิดๆ ด้วย แม้ในสายตาของผู้ใหญ่ในหมู่บ้านจะเห็นว่าแปร่ง ประหลาด และไม่คุ้นเคย แต่เสื้อผ้าของลูดีกลับถูกใจวัยรุ่นรวมไปถึงลูกเล็กเด็กแดงในหมู่บ้านแห่งนี้อย่างเหลือเชื่อ

     ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา มีข่าวลือในทางไม่สู้ดีนักเกี่ยวกับลูดี ว่าเธอเป็นหลานสาวของน้องชายของน้าบุญธรรมของ มร.แม้น อดีตผู้จัดการทีมฟุตบอลสีแดงจากฝั่งเหนือจอมอื้อฉาวคนนั้น และมีความสนิทชิดเชื้อกันมากกว่าหลานสาวของน้องชายของน้าบุญธรรมคนอื่นๆ อย่างน่าสงสัยด้วย ปฏิเสธไม่ได้ว่าข่าวนี้มีส่วนทำให้คนสนใจตัวเธอยิ่งขึ้น หรือถึงขั้นช่วยเพิ่มยอดขายเสื้อผ้าให้เธอเลยก็อาจเป็นได้ หากเธอเป็นคนปล่อยข่าวเพื่อหวังผลประโยชน์เช่นนี้เอง ก็นับว่าทำได้ไม่เลวทีเดียว

     จู่ๆ วันหนึ่งเมื่อไจเดจอมกวนไปเดินเล่นในตลาด ก็ไปเห็นลูดีมีอาการขยับตัวยุกยิก งึกๆ งักๆ  แปลกๆ แบบที่ยากจะบรรยายเข้าพอดี เขาเดินเข้าไปถามเธอตามประสาหนุ่มเจ้าชู้ว่ามีอะไรที่พอจะช่วยได้บ้างหรือไม่
"มิเป็นไรท่าน ข้าเพียงแพ้ยาเล็กน้อย" ลูดีบอกปัดความหวังดี
"แต่อาการที่ข้าเห็นไม่ค่อยสู้ดีนัก เธอแพ้ยาอะไรหรือ"
ลูดีอึกอักเล็กน้อย "ก็.. เป็นยาสตรีโบเลนทั่วไป ท่านมิต้องเป็นห่วง ประเดี๋ยวข้าก็หาย"
ไจเดยังไม่คลายสงสัย ว่ายาสตรีอะไรที่มีผลข้างเคียงทำให้ต้องคอยกระดุกกระดิกตัวไปมาเช่นนี้

     วันนั้นเขารีบไปเล่าอาการให้หมอกิฟังเพื่อถามว่าลูดีเป็นอะไร อันที่จริงเจไดไม่ได้มีจิตพิศวาสลูดีเป็นพิเศษแต่อย่างใด แล้วก็ไม่ได้อยากทราบเรื่องของคนอื่นมากมายขนาดนั้น เขาหมั่นไส้หมอกิจึงแกล้งถามเพื่อลองภูมิเสียมากกว่า และด้วยความมั่นใจในตนเองเกินพิกัดของหมอกิ หรืออาจเห็นว่าโอกาสดังมาถึงแล้วก็ไม่ทราบ จึงรีบตอบไจเดในทันทีว่า "ดูจากประวัติของลูดีแล้ว เธออาจมีอาการแพ้ฝุ่นที่ปะปนอยู่ในเสื้อผ้าที่เธอขาย หรือหนักกว่านั้นก็อาจมีคันร่วมด้วย" ดูเหมือนงานนี้หมอกิตั้งใจเกาะกระแสข่าวเกี่ยวกับลูดีเพื่อชื่อเสียงของตนเองบ้าง และมันก็ได้ผลเกินคาด!

     เพราะยังไม่ทันตรวจสอบว่าจริงเท็จเพียงใด ข่าวหมอกิวินิจฉัยว่า 'ลูดีมีคัน' ก็ถูกซุบซิบกันอย่างหนาหูทั่วทั้งหมู่บ้านภายในไม่กี่วัน จนกระทั่งชาวบ้านส่วนหนึ่งปักใจเชื่อไปแล้วว่าเป็นความจริง และยิ่งไปกว่านั้น ชาวบ้านหลายคนยังคิดว่าเป็นเพราะเธอเป็นญาติกับ มร.แม้น (ผู้ซึ่งไม่มีใครในหมู่บ้านรู้ว่าตอนนี้อยู่ส่วนใดของโลก) ซึ่งถือว่าเป็นผู้ไม่ประสงค์ดีกับหมู่บ้านอย่างร้ายกาจ เทพประจำหมู่บ้านจึงลงโทษให้เธอมีอาการคันเช่นนี้ ..ดูเหมือนเรื่องจะเป็นไปตามที่หมอกิคาด ข่าวที่เกี่ยวกับ มร.แม้น เป็นที่สนใจของชาวบ้าน ทั้งผู้ที่ชื่นชอบและสุดแสนจะเกลียด จึงแพร่กระจายไปได้ไวอย่างยิ่ง และยังปลุกความคิดเห็นที่ขัดแย้งรุนแรงแบบสุดขั้วทั้งสองฝ่ายให้เกิดขึ้นซ้ำ ทั้งที่เรื่อง มร.แม้น นั้นเงียบไปได้สักพักแล้ว

     เมื่อเห็นทีท่าว่าข่าวไม่ดีเกี่ยวกับตัวเธอจะเตลิดไปกันใหญ่ และอาจจะมากเกินจำเป็นสำหรับการช่วยกระตุ้นยอดขายเสื้อผ้าเสียแล้ว ลูดีจึงรีบออกมาแก้ข่าวผ่านสื่อของอาแปที่ร้านกาแฟใจกลางหมู่บ้าน
"ข้าขอยืนยันว่าข่าวทั้งหมดมิเป็นเรื่องจริง ข้ามิได้มีอาการแพ้และมิได้มีคันแต่อย่างใด"
"แต่มีผู้ยืนยันว่าเห็นเธอมีอาการยุกยิก งึกงัก แบบผิดปกติวิสัย.." โฆษกมดตะนอยถาม
"นั่นเป็นเพราะข้าแพ้ยาสตรีโบเลน" ลูดีตอบเหมือนที่ได้บอกไจเดในวันนั้น
"..แล้วเหตุใดเธอจึงเพิ่งมาชี้แจงข้อเท็จจริงป่านนี้เล่า"
"ในคราวแรกที่ได้ทราบเรื่อง ข้ามิอยากออกมาแก้ข่าวเพราะอาจทำให้ชาวบ้านไม่เชื่อข้ายิ่งขึ้น แต่ขณะนี้เรื่องราวบานปลายไปถึงเรื่องท่าน มร.แม้น แล้ว และยังทำให้ยอดขายเสื้อผ้าของข้าลดลงมากด้วย เมื่อผู้คนได้ฟังว่ามีคันเพราะเสื้อผ้าแล้วใครจะอยากมาอุดหนุนกันเล่า.. ในวันนี้ข้าจึงจำเป็นจะต้องมาชี้แจงเรื่องจริงให้ทุกท่านทราบ" ลูดีพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเศร้าสร้อย

     ด้วยความที่เธอเป็นผู้หญิง ผู้คนจึงเห็นใจ ไม่มีใครคิดจะถามลูดีถึงข่าวเรื่องความสัมพันธ์กับ มร.แม้น เลย และเริ่มวิพากษ์หมอกิว่าทำผิดจรรยาบรรณความเป็นหมออย่างมาก เนื่องด้วยลูดีมิได้ไปขอคำปรึกษาจากหมอกิ แล้วเขาวินิจฉัยให้ออกมาเป็นข่าวส่งเดชเช่นนี้ได้อย่างไร หญิงสาวย่อมเป็นฝ่ายเสื่อมเสียแต่ฝ่ายเดียวเพราะถูกมองในแง่ไม่ดี ส่วนผู้พูดมิเสียหายอะไรอยู่แล้ว จะพูดเช่นไรก็ได้

     ไจเดกล้าแสดงความเห็นต่าง "แต่เพื่อให้ได้ข้อสรุปชัดเจน ลูดีก็ควรไปตรวจให้รู้จริง"
"เธอก็ออกมาชี้แจงแล้วไงเล่า ท่านก็ยังมิเชื่อ แล้วเหตุใดเธอต้องไปตรวจเพียงเพราะหมอกิทักด้วยเล่า ..ถ้ามีคันจริง อย่างไรก็ต้องมีคนเห็นเธอเกาอยู่แล้ว" ชาวบ้านหลายคนรุมโต้แย้งไจเด
มีอีกเสียงหนึ่ง คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นเสียงผู้ที่ชอบแสดงตนเป็นคนวงใน แทรกขึ้นมาอย่างเบาๆ ให้ทุกคนต้องเงี่ยหูฟัง "อาจไม่เป็นเช่นนั้นน่ะสิ เพราะข้าได้ยินข่าวเบื้องลึกมาว่า ลูดีแอบไปรักษานอกหมู่บ้านจนหายแล้ว.."
แล้วเรื่องลูดีก็ยังเป็นที่ถกเถียงต่างๆ นานาต่อไป การที่เธออุตส่าห์ออกมาพูดชี้แจงดูจะไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลยจริงๆ คิดแล้วก็น่าเหนื่อยใจแทนเธอเหมือนกัน

     ข่าวล่าสุดที่ได้รับการโจษจัน ณ ร้านกาแฟแห่งนี้ก็คือ ลูดีประกาศว่าจะฟ้องร้องหมอกิ ให้คณะกรรมการหมู่บ้านบังคับหมอกิให้จ่ายค่าเสียหายให้กับเธอ โทษฐานที่ทำให้เธอเสื่อมเสียชื่อเสียงและขายเสื้อผ้าไม่ออก จวบจนขณะนี้กรรมการหมู่บ้านยังไม่ได้ตัดสินคดีความชัดเจน แต่ผมคิดว่างานนี้หมอกิคงได้รับบทเรียนแล้วว่า ถ้าอยากมีชื่อเสียง การพยายามสร้างผลงานให้ดีจริงนั้น เรียบง่ายและปลอดภัยกว่าการพยายามทำตัวให้ตกเป็นข่าวอยู่มากนัก



-3-

     วันสำคัญวันหนึ่งของหมู่บ้านแห่งนี้คือวัน 'พักพลังประชา' ซึ่งเป็นวันเดียวในรอบปีที่ผู้ขายแรงงานจะได้โอกาสหยุดพักผ่อน ไม่ต้องออกแรงใดๆ คืนนี้ในหมู่บ้านมีการจัดงานรื่นเริงประจำปีด้วย และหมอกิก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้รับเชิญมาร่วมงานในฐานะคนดังของหมู่บ้าน และเมื่อถึงลำดับที่โฆษกมดตะนอยเชิญหมอกิขึ้นบนเวทีเพื่อกล่าวอะไรสั้นๆ กับชาวบ้านนั้นเอง ก็มีหญิงสูงอายุคนหนึ่งบุกขึ้นไปบนเวทีอย่างไม่มีใครคาดคิด ไจเดบอกผมว่า เธอผู้นี้คือป้าสะใภ้ของลูดี!

     ป้าสะใภ้โวยวายเสียงดังในทำนองว่าอดรนทนไม่ไหวแล้ว จะหยามศักดิ์ศรีผู้หญิงเกินไปแล้ว เมื่อหมอกิเห็นป้าคนนี้และเริ่มนึกออกว่าอะไรเป็นอะไร เขาก็รีบกล่าวขอโทษขอโพย โดยไม่วายโยนความผิดไปให้ชาวบ้านคนที่นำอาการมาถามคนนั้นด้วย (นั่นคือคนที่ยืนดูอยู่ข้างผมตอนนี้นี่แหละ) แถมยังยืนยันว่าตนเองไม่ได้กล่าวว่าลูดี 'มีคัน' เพียงพูดว่า 'อาจมีคัน' ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาตามอาการที่ได้ฟังเท่านั้น ดูหมอกิในยามนี้หน้าหดหมดความมั่นใจในตัวเองไปแล้วโดยสิ้นเชิง ผิดกับหมอกิคนที่ 'ออกตัวแรง' ในวันแรกอย่างมาก ผมได้ยินผู้ชมหลายคนรอบข้างแอบหัวเราะด้วยน้ำเสียงสะใจ

     แต่สิ่งที่หมอกิพูดไม่ยักเกิดผลใดๆ ป้าสะใภ้ของลูดีไม่สนใจคำแก้ต่างเหล่านั้น และไม่ยอมยกโทษให้ด้วย ดูป้าจะไม่คลายโทสะลงเลยแม้แต่น้อย เธอตะคอกใส่หมอกิให้ได้ยินผ่านเครื่องขยายเสียงไปทั่วทั้งงานว่า "ถ้าอยากจะขอขมา ก็จงมานวดไหล่ให้ข้า! แล้วจะยกโทษให้.."

     ผู้ชมในงานต่างพึมพำกันเซ็งแซ่ ความคิดแตกออกไปหลากหลายประเด็น ส่วนใหญ่เห็นว่าป้าสะใภ้ของลูดีกระทำไม่เหมาะสม เพราะนี่เป็นงานสำคัญของหมู่บ้าน ไม่ใช่งานที่ใครจะมาโวยให้งานกร่อยได้ เรื่องเหล่านี้ควรไปคุยกันเป็นการส่วนตัวมากกว่า ถึงขนาดมีชาวบ้านบางคนเอ่ยว่าจะยุยงให้หมอกิฟ้องร้องป้าสะใภ้ของลูดีกลับ เพราะป้าทำให้หมอกิเสื่อมเสียศักดิ์ศรีต่อหน้าชาวบ้านมากมายเช่นกัน เนื่องจากในหมู่บ้านแห่งนี้ การสั่งให้ใครนวดไหล่ให้ถือเป็นการดูถูกเหยียดหยามกันอย่างรุนแรง บ้างก็เดาว่านี่เป็นการแก้แค้นของโฆษกมดตะนอยที่ไม่ชอบหมอกิอยู่แต่แรกแล้ว จึงแกล้งเรียกเขาขึ้นไปบนเวทีเพื่อให้ป้าสะใภ้ของลูดีบุกขึ้นไปหาเรื่อง ในขณะที่ชาวบ้านบางคนก็เอาแต่พร่ำพูดถึงสิทธิสตรีที่หมอกิไปละเมิดอยู่เหมือนเดิม โดยไม่ได้มองเลยว่าเหตุการณ์เลยไปถึงขั้นใดแล้ว ดูท่าความเห็นของผู้ชมกลุ่มหลังนี่แหละที่น่ากลัวที่สุด

     และทันใดนั้น หมอเลิฟซึ่งยืนอยู่บนเวทีมาตลอด ก็ตัดสินใจประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงบ้าง
"เอาล่ะๆ ทุกท่าน โปรดฟังทางนี้ พวกเราในหมู่บ้านแห่งนี้ล้วนตรากตรำทำงานหนักกันมาเต็มที่ เมื่อฤดูกาลหนึ่งผ่านไปจึงควรที่จะมีงานฉลองเกิดขึ้น เพื่อให้พวกเราได้พักผ่อนร่างกายและจิตใจกันอย่างเต็มที่ นั่นเป็นสิ่งที่ถูกแล้ว อีกทั้งยังช่วยกระชับสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในหมู่บ้านแต่ละคนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นอีกด้วย ก็ถือเป็นความสำคัญอีกประการของงาน.."
"..ถ้าจะพูดอะไรก็เอาให้เข้าเรื่องเลยได้ไหมหมอ!" โฆษกมดตะนอยทำหน้าที่ของตนได้อย่างสมเกียรติ
"ก็นี่ยังไง ข้ากำลังจะเข้าเรื่องแล้ว ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย ท่านคงทราบว่างานรื่นเริงของเราซึ่งมิได้มีกันบ่อยๆ นั้น มิควรมีความวุ่นวายเกิดขึ้นเช่นนี้เลย อนึ่ง ความวุ่นวายที่ข้าหมายถึงนั้น จะว่าไปแล้วมิใช่เรื่องที่น่ารังเกียจมากมายแต่ประการใด เพียงแต่ข้าขอชี้แจงว่าในงานลักษณะนี้.."
เขาอารัมภบทต่อไปอีกประมาณ 3 นาที ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ที่เร็วที่สุดของเขาแล้ว โฆษกมดตะนอยถอนหายใจแล้วปล่อยให้หมอเลิฟพูดไปให้จบ เพราะอยากรู้เหมือนกันว่าหมอต้องการจะสื่ออะไร

     และเมื่อฟังมาจนถึงประโยคสุดท้าย ทุกคนในงานรวมทั้งผมก็เข้าใจชัดแจ้ง จากสิ่งได้ยินชัดเจนเต็มสองหู "..ข้าขอสรุปว่า ลูดีมีคันจริงๆ! แต่โปรดอย่าได้กังวล เพราะข้ารักษาเธอให้หายดีแล้ว! ..ยืนยัน!"

     สิ้นประโยคของหมอเลิฟ ผมเห็นหมอกิยืนจ้องป้าสะใภ้ของลูดีอย่างอึ้งๆ ขณะที่ป้าสะใภ้ของลูดีก็จ้องไปที่หมอเลิฟอย่างอึ้งๆ เช่นกัน ส่วนชาวบ้านที่ชมอยู่ด้านล่าง ล้วนนิ่งเงียบพร้อมกันทั่วบริเวณโดยมิได้นัดหมาย
ก่อนจะเปลี่ยนเป้าจากหมอกิ มารุมวิพากษ์วิจารณ์ลูดีกับป้าสะใภ้กันแบบไม่เหลือชิ้นดี

ดูท่างานนี้คนที่ได้รับบทเรียนไปนอนคิด คงไม่ใช่หมอกิคนเดียวแล้วล่ะมั้ง
..แต่ผมว่า ก่อนจะแยกย้ายกันกลับไปนอน คงมีหลายคนอยากได้คนนวดไหล่ซะเดี๋ยวนั้นเลย



-----------------------------------------------------------------------------------------------

      เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า..
(1) ทุกเรื่องที่ได้ยินข่าว ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องจริง และไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่ิองเท็จ
ก่อนจะออกอาการ หรือออกปากวิจารณ์ ก็ควรใช้วิจารณญาณให้มากเสียก่อน

(2) ชาวบ้านนิยมผสมโรงด่าเรื่องเสียๆ หายๆ ของคนอื่นอยู่แล้ว
แต่กับเรื่องดีๆ ที่น่าชื่นชม มักไม่เป็นแบบนั้น
ถ้าอยากดังเป็นข่าว อาจต้องคิดใหม่อีกทีว่าคุ้มกันจริงหรือไม่


(c) 2009 Kanit M. // งานเขียนนี้มีลิขสิทธิ์ ห้ามลอกเลียนหรือนำไปเผยแพร่ซ้ำ
Note: สำหรับผู้อ่านที่เป็นสมาชิก Multiply สามารถโพสต์ความเห็นได้ที่ ลิงก์นี้ เด้อ..
นวย 14/05/2009 09:35 
ชอบวัน 'พักพลังประชา' จริงๆ เลยค่ะ ยืนป้าบ !!!
Shauฯ 14/05/2009 13:05  [ 1 ] 
อ้าว ฮากว่ามุขอื่นซะงั้น :P
นวย 14/05/2009 20:32  [ 2 ] 
สามารถใส่ html tag โดยใช้เครื่องหมาย { } แทน < >      
ความเห็น : 
จาก : : รหัส
(อีเมล/เว็บไซต์) : อัพโหลดรูป/ไฟล์
ถ้าไม่มีรหัสประจำตัว กรุณาใส่ "เลขหนึ่งสี่ตัว" ด้วยครับ