ห มู่ บ้ า น เ ส มื อ น ต อ น ที่ 3
ผมได้เข้ามาสัมผัสกับหมู่บ้านแห่งนี้ครั้งแรก ก็ด้วยเพื่อนที่ชื่อ 'เทซิ' นั่นเองที่เป็นคนพามา เทซิเกิดที่หมู่บ้านนี้แต่จับพลัดจับผลูได้ไปอาศัยอยู่นอกหมู่บ้านตั้งแต่ยังเล็ก เขามีโอกาสได้เข้าศึกษาเกี่ยวกับการเพาะปลูกเมื่อหลายปีก่อน เราได้เจอกันที่นั่นและเป็นเพื่อนกันเรื่อยมา ปัจจุบันเทซิกลับมาอาศัยที่บ้านเกิด และเลือกที่จะหาเลี้ยงปากท้องด้วยงานปลูกผักเช่นเดียวกันกับผม เทซิคนนี้แหละที่เป็นคนแนะนำให้ผมรู้จักกับรุ่นน้องแถวบ้านที่ชื่อพีอา คนปลูกดอกไม้ที่มีพลังกล้ามแข็งแรงยิ่งกว่าผู้ใช้แรงงานคนใด
ผมค่อนข้างได้คลุกคลีกับเทซิมากกว่าเพื่อนคนอื่น เรายังเคยตกลงใจทำแปลงผักร่วมกันด้วย อาจจะฟังดูแปลกไปเสียหน่อยเพราะแทนที่ต่างคนจะช่วยกันดูแลคนละด้าน แต่เจ้าของทั้งสองกลับมีความถนัดในงานเดียวกันคือปลูกผัก แล้วก็ต้องมาแบ่งผลกำไรกัน ที่เป็นแบบนั้นอาจเพราะทั้งผมและเทซิยังไม่กล้าพอที่จะเริ่มลงทุนทำแปลงผักด้วยเงินตนเองคนเดียว และอีกอย่าง การมีเจ้าของสองคนช่วยกันดูแลก็น่าจะได้ผลดีกว่าการคิดคนเดียวแน่นอน.. แต่ทว่า ในภายหลังเมื่อเทซิทำท่าจะชวนพีอามาร่วมขบวนด้วยอีกคน ผมก็ชักเห็นว่าจำนวนผู้ดูแลจะมากเกินไปสำหรับแปลงเกษตรเล็กๆ แล้ว จึงขอถอนตัวออกมาเสียก่อน ปล่อยให้เทซิและพีอาทำแปลงเกษตรกันต่อไป เมื่อเจ้าของคนหนึ่งปลูกผัก และอีกคนปลูกดอกไม้ แปลงเกษตรแห่งนั้นก็น่าจะไปได้รุ่งกว่าเดิม.. ปัจจุบันแม้ผมจะไม่ได้เป็นเจ้าของร่วมแล้ว ผมก็ยังได้ไปเยี่ยมเยียนและช่วยพวกเขาดูแลพืชพันธุ์อยู่บ่อยครั้ง
เทซิเป็นคนขยันทำงานหาเลี้ยงชีพแบบที่หาใครเทียบเคียงได้ยาก นอกจากงานปลูกผักที่ไปได้ไม่เลวแล้ว เขายังมีอาชีพเสริมอีกอย่างที่สร้างรายได้ไม่แพ้กัน นั่นก็คือการตระเวนขายหวย เท่านั้นไม่พอ เขายังเอาเวลาว่างที่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะยังมีเหลือ ไปเข้าสำนักฟิตกล้ามเพื่อหวังจะสำเร็จวิชา 'กล้ามเทพ' อีกต่างหาก ทุกคนรอบข้างลงความเห็นว่า ใครที่อยู่กับคนขยันแบบเทซิ คงไม่วันอดตายอย่างแน่นอน
แต่ขณะเดียวกัน อีกความรู้สึกของหลายคนก็คือ เทซิดูไม่ค่อยมีความสุขแบบชาวบ้านคนอื่นเท่าไร เขาน่าจะหาเวลาพักผ่อนหรือหางานอดิเรกที่ทำเพื่อความสุขส่วนตัวบ้าง ทุกครั้งที่มีคนพูดคุยกับเทซิเรื่องนี้ ก็ดูเหมือนคำตอบที่ได้คือ เทซิไม่ค่อยรู้ตัวว่านอกจากงานหาเลี้ยงชีพแล้ว ตนเองยังมีความสนใจในสิ่งใด และความสุขใจส่วนตัวอยู่ที่ไหน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเพียรทำแต่งาน งาน และงาน จนล้นเวลาที่มี ทุกคนจึงได้สรุปความเห็นปิดท้ายว่า ความสุขของเทซิคงอยู่ตรงที่ได้ทำงานแบบลืมวันลืมคืนนี่เอง อาจเป็นการสรุปเพื่อจะได้ไม่ต้องเฝ้ายุยงเทซิให้ค้นหาความสุขอื่นใดอีก ทั้งที่เทซิก็ดูท่าจะไม่ค่อยอยากสรุปเช่นนั้น
ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้มีกิจกรรมชนิดหนึ่งที่เราจะพบเห็นได้ทั่วไป คือการเลี้ยงนก และดูท่าทุกคนโดยเฉพาะวัยรุ่นจะมีความสุขดีกับสิ่งนี้ บ้างก็พานกออกไปเที่ยวไหนต่อไหนด้วย บ้างก็หยอกล้อเล่นกับนกอย่างรักใคร่เอ็นดู บางคนมีนกเป็นเพื่อนคุยในยามเหงา บางคนขยันทำงานได้ก็เพราะอยากมีเงินมาดูแลฟูมฟักนกสุดที่รัก ..ส่วนไอ้ที่แปลกๆ ก็พอมีอยู่บ้าง เช่นบางคนพยายามจะแอบเลี้ยงนกโดยไม่ให้ใครรู้ เวลามีใครถามก็จะตอบปฏิเสธอย่างเดียว ในขณะที่บางคนกลับเลี้ยงนกอย่างเปิดเผยเสียหลายตัว โดยแอบไว้คนละสถานที่เพื่อไม่ให้นกทำร้ายกัดจิกกัน และบางคนทำสิ่งเลวร้ายถึงขนาดไปแย่งนกของเพื่อน โดยควักหนอนตัวอวบออกมาล่อในที่ลับตาคน!
ตัวเทซิเองนั้นก็เคยพยายามจะเลี้ยงนกมาหลายทีแล้ว แต่ไม่ได้เรื่องสักที ครั้งที่ดูจะเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ในช่วงที่เราเริ่มทำแปลงผักร่วมกันใหม่ๆ เขาไปพบนกตัวหนึ่งเข้าโดยบังเอิญด้านหลังแปลงผัก นกตัวนั้นจะโผมาเกาะกิ่งไม้ตรงจุดเดิมทุกวัน ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากที่ใด แต่ที่ทุกคนสนใจยิ่งกว่าคือเสียงร้องในท่วงทำนองอันร่าเริงของเจ้านก ที่ไม่ว่าใครได้ฟังต่างก็นึกนิยมชมชอบจริงจัง โดยเฉพาะเทซิเข้าขั้นคลั่งไคล้หนักกว่าใครอื่น เขาอยากเลี้ยงดูทะนุถนอมนกตัวนั้นยิ่งนัก แต่เนื่องจากเขายังคงตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย จึงไม่กล้าโผล่เข้าไปประชิดตัวนก ได้แต่ค่อยๆ ย่องเข้าไปชื่นชมนกอย่างใกล้ขึ้นเรื่อยๆ วันละนิดละน้อย.. เทซิเฝ้าแอบชื่นชมเจ้านกร่าเริงตัวนั้นอยู่หลายสัปดาห์ เขาบอกกับผมว่าเขาหลงใหลเจ้านกร่าเริงมาก ถึงขนาดเก็บไปฝัน ว่าเจ้านกน้อยปรากฏกายมาก็เพื่อจะมาอยู่เป็นเพื่อนเขา และร้องเพลงให้เขาฟังไปจนชั่วชีวิต
และแล้ว เมื่อ 'วันแห่งการเลี้ยงนก' ของหมู่บ้านในปีนั้นเวียนมาถึง ก็เป็นวันที่เขาตัดสินใจกระทำการบางอย่างอย่างเด็ดเดี่ยว เขาย่องเข้าไปถึงกิ่งไม้ที่นกเกาะอยู่โดยที่เจ้านกไม่ทันรู้ตัว ทันทีที่เอื้อมมือหมายจะประคองเจ้านกร่าเริงมาไว้ในอ้อมกอด นกน้อยก็เกิดไหวตัวขึ้นมา และผละจากไปสู่ท้องฟ้ากว้างใหญ่ในทันที! ทิ้งให้เทซิยืนอึ้งอยู่เบื้องล่างแต่เพียงผู้เดียว.. หลังจากวันนั้นในหมู่บ้านก็ไม่มีใครได้ยินเสียงร้องอันร่าเริงจากนกตัวเดิมอีกเลย ภาพสุดท้ายที่เทซิต้องบันทึกไว้ในความทรงจำ คือภาพเจ้านกน้อยของเขาหันหลังบินจากไป อย่างไม่ไยดีต่อคนที่เฝ้าฝันถึงแม้แต่นิด มันเป็นภาพเคลื่อนไหวที่เงียบสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงร้องบทเพลงใดๆ เป็นการอำลาเสียด้วยซ้ำ
ถ้าพูดได้ นกตัวนั้นอาจมีเพียงสิ่งเดียวที่อยากพูดกับเทซิ "ท่านมิผิดที่หลงใหลในท่วงทำนองร่าเริงของข้า แต่ท่านมิควรกักขังท่วงทำนองเหล่านี้ไว้ ให้อยู่กับท่านแต่เพียงผู้เดียว"
ผมยังจำบทสนทนาในเย็นวันแห่งการเลี้ยงนกได้ดี
"อ้าว เทซิ.. วันนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง เรื่องนกน่ะ เมื่อเช้าดูท่านจะร่าเริงไม่แพ้เสียงเจ้านกทีเดียว"
"นกบินหนีข้าไปแล้วว่ะ.." เทซิตอบทั้งก้มหน้า ไม่สบตา ดูหน้าเขาเจื่อนลงกว่าช่วงเช้าแต่ก็ยังฝืนยิ้ม เป็นยิ้มที่ยากจะบรรยาย และยิ่งยากจะลืมถ้าหากใครได้เห็นเข้า
"เฮ้ย เป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร" ผมประหลาดใจและอยากทราบเรื่องราว
"..." เทซินิ่งเงียบไปอึดใจ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเพลีย "..ขอข้างีบสักชั่วครู่ แล้วท่านช่วยปลุกข้าในอีก 10 นาทีด้วย"
"อืม.."
ที่จริงมันก็น่าขันอยู่เหมือนกันที่เทซิผู้มั่นใจสุดเหวี่ยงในตอนเช้า จะมากลายสภาพเป็นเทซิผู้อ่อนระโหยในยามเย็นเช่นนี้ เพราะเหตุการณ์ที่เขาประสบนั้นใช่จะมีเพียงเขาคนเดียวที่เคยเจอ และเมื่อเทียบกับผู้อื่นซึ่งนกที่อยู่ด้วยกันมานานได้บินจากไปนั้น เรื่องของเทซิถือว่าเทียบไม่ได้เลย ถ้ามองในมุมนั้นเขาอาจอ่อนเพลียเกินกว่าเหตุไปหน่อย แต่ในชั่วขณะนั้นใครที่อยู่กับเทซิและเห็นหน้าเขา ก็คงขำไม่ค่อยออกเท่าไร.. โทษเทซิไม่ได้ เพราะ 'ปัญหาของเราเองดูจะใหญ่หลวงกว่าปัญหาของผู้อื่นเสมอ' อยู่แล้ว
หลังจากเหตุการณ์นั้น ผมคิดว่าเทซิคงสะเทือนใจไม่น้อย กับความคาดหวังครั้งใหญ่ที่พลันสูญสลายไป ไม่เหลืออะไรให้ฝันอีกเลย.. เทซิกลับกลายเป็นคนที่ขยันทำงานอย่างลืมวันลืมคืนตั้งแต่นั้นเรื่อยมา และไม่เคยแม้จะปริปากกับใครเกี่ยวกับการเลี้ยงนกอีก หากแม้ใครถามเขาก็จะตอบแต่เพียงว่า แค่ทำงานก็หมดเวลาแล้ว ไหนจะต้องมีเวลาพบปะเพื่อนฝูงอีกเล่า เขาจึงไม่รู้สึกว่าจะต้องมีอะไรเพิ่มเติมในชีวิตไปกว่านี้อีกแล้ว.. "อยู่กับเพื่อนๆ ข้าก็มีความสุขดีแล้ว" เขาว่าอย่างนั้น
ผมเคยคุยกับเขาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ในอีกหลายเดือนให้หลัง
"เทซิ ข้าขอเอ่ยความเห็นว่า ท่านควรให้โอกาสตนเองได้ลองเลี้ยงนกดูอีกครั้ง"
"ท่านก็เห็นนี่ ว่าข้าไม่มีเวลาเหลือแล้ว.."
"ท่านก็คงเห็นเช่นกันว่าทุกคนเขาหาเวลาได้.. มันอยู่ที่ใจท่านมากกว่า ว่าท่านต้องการหรือไม่"
"ถึงข้าต้องการ แล้วอย่างไร? ..ข้าจะไปหานกจากไหนมาเลี้ยงล่ะ?"
"ข้าก็ไม่ได้บอกให้ท่านเดินหาปานนั้น ข้าเพียงหวังให้ท่านเปิดโอกาสเอาไว้"
"ท่านคิดว่าข้าปิดใจอย่างนั้นหรือ"
"คงอย่างนั้น ข้าเห็นอยู่ว่าแม้ท่านจะปฏิเสธคำแนะนำของทุกคนเรื่อยมา แต่ท่านก็แอบชมนกชมไม้อยู่เนืองๆ เช่นกัน"
"ท่านคิดว่าข้าปากแข็งด้วยงั้นหรือ" เทซิเริ่มยียวนเล็กน้อย
"เออ! ก็ใช่! จะให้ข้าเปิดฉากด่าท่านเลยไหม.." ผมและเทซิหัวเราะเสียงดัง
โดยปกติอารมณ์ขันอาจช่วยทำให้การสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น แต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้ของเทซิ
"ข้าล่ะสงสัยจริง การที่ท่านชมนกชมไม้เรื่อยเปื่อยนั้น ท่านมิได้มีใจคิดเรื่องเลี้ยงนกสักนิดเลยหรือ"
"ต้องให้ข้าบอกอีกกี่ครั้ง ว่าข้าได้แต่มองเพื่อความเพลิดเพลินเท่านั้น ข้าไม่ได้สนใจจะเลี้ยง ไม่รู้จะเลี้ยงไปทำไม"
"ท่านจะเข็ดกับเรื่องเพียงครั้งนั้นมิได้นะ เพราะมันยังไม่ถือว่าได้เริ่มเลี้ยงนกเลย"
"ข้าไม่ได้เข็ด ก็ข้าเกิดมาไม่มีนกให้เลี้ยงจริงๆ จะให้ข้าทำอย่างไรล่ะ.."
"แล้วท่านมีความเห็นอย่างไรเรื่องที่ว่า ท้ายที่สุดจะช้าหรือเร็ว ทุกคนก็ต้องมีนกคู่ใจ"
"ข้าไม่รู้หรอก.. แต่ทุกวันนี้ข้ายังมีความสุขดีเมื่อได้อยู่กับเพื่อนๆ"
"ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนของท่านทุกคนด้วย ที่ล้วนมีนกคู่ใจ"
"ข้ายังไม่รู้สึกว่าขาดอะไรนี่หน่า"
"นั่นอาจเป็นเพราะท่านยังไม่เคยเลี้ยงนก.. ผู้ที่เคยเลี้ยงแล้วจะไม่กล่าวเช่นนี้"
"อาจจะจริง แต่ข้าก็ไม่เห็นความจำเป็นอันใด ที่ทุกคนจะต้องเป็นคนที่เคยเลี้ยงนก.."
"ก็ถูกของท่าน.." เทซิพูดถูกจริงๆ และผมไม่รู้จะอธิบายเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรแล้ว
ผมรู้ว่าถ้าเขาได้เลี้ยงนก เขาจะมีความสุขแน่ๆ แต่ถ้าเขายังไม่ต้องการความสุขเช่นนั้นในตอนนี้ ใครก็ไม่ควรยัดเยียดให้กับเขา
"ในตอนนี้ข้าคิดว่า มันคงยังไม่ถึงเวลาของท่านจริงๆ แหละ" ผมกล่าวสรุป
"ท่านเข้าใจข้าแล้วนี่.." เขายิ้ม
"หวังว่าในอนาคตเราอาจได้คุยเรื่องนี้กันใหม่ ในมุมมองที่เปลี่ยนไป"
"ถ้าท่านยังหวังเช่นนั้น แสดงว่าท่านไม่รู้จักตัวข้าที่แท้จริง"
"อ้าว.." ผมได้แต่ถอนใจกับอาการ 'ปิดผนึก' อย่างรุนแรงของเขา
ผมคิดว่ามันเป็นเพียงกับดักที่เขาสร้างขึ้นมายึดตัวเองไว้ ว่าตัวเองจะต้องไปตามนี้เท่านั้น วิธีอื่นไปไม่ได้.. ซึ่งก็พอจะเดาได้ว่าเขาทำไปก็เพราะเรื่องจากอดีตยังกระทบจิตใจ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการสร้างกับดักเช่นนี้จะมีประโยชน์อันใดในอนาคต เขาไม่อยากเสียใจซ้ำอีก หรือแค่ไม่อยากเสียหน้าซ้ำอีกกันแน่? ..คนที่สร้างกับดักมาขังตัวเองนี่ อาจลืมคิดไปว่าไม่มีใครเจ็บเท่าตัวเองอีกแล้วล่ะ
ไม่มีใครคาดคั้นเรื่องเหล่านี้กับเทซิอยู่นาน แม้แต่ผมที่สนิทกับเขาและพูดคุยกันรู้เรื่องที่สุด สนทนาเรื่องนี้ทีไรก็ได้แต่พ่ายแพ้เขาเรื่อยมา เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ทุกอย่างมันเกิดอยู่ในใจของเขาเท่านั้น ไม่มีใครอื่นที่สามารถกำหนดได้.. แต่แล้วในวันหนึ่งเทซิก็เดินยิ้มมากระซิบให้ผมแปลกใจเล่น..
"รู้ไหม ข้าได้ไปเจอนกตัวหนึ่งบริเวณสนามหญ้า ขณะที่ไปฝึกกล้ามเทพ"
"อื้ม.. แล้วอย่างไร?" ผมชักแปลกใจที่จู่ๆ เทซิพูดเรื่องนกขึ้นมา
"ข้าอยากจะเลี้ยงนกตัวนี้!"
ผมถึงกับงง "..ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ยินประโยคนี้จากปากของท่าน ท่านพูดจริงหรือ?"
เทซิพยักหน้า "ข้าเข้าใจแล้ว ที่ว่าเปิดโอกาสให้ตัวเองนั้นเป็นอย่างไร.. ข้าได้เห็นนกตัวนี้ มันไม่เหมือนทุกตัวที่ข้าเคยพบ ข้าพรรณนาไม่ถูกว่าแปลกอย่างไร ข้าเข้าไปเล่นด้วยใกล้ๆ เจ้านกตัวนี้ก็ไม่หนีไปไหนเลย เล่นกับข้าอย่างน่าเอ็นดูทีเดียว ..ข้าคิดว่า ข้าพบนกที่เข้ากันกับข้ามากที่สุดแล้ว!" เทซิพูดยาวมาก
"ถ้าอย่างนั้น ท่านคงเริ่มเห็นความสุขของการเลี้ยงนกขึ้นมาบ้างแล้วสินะ"
"ใช่.. ข้ารู้แล้ว.. ความรู้สึกของข้า มันไม่เหมือนกับความสุขใดที่ผ่านมาในชีวิต.. ข้ามีความสุขมากๆ.. จริงๆ"
"ท่านไม่ต้องย้ำข้าก็พอจะรู้.. ดูท่านสิ ยิ้มจนหน้าบานได้ขนาดนี้เลยทีเดียว.."
เรื่องของเทซิและ 'นกตัวที่ดูจะเข้ากับเขามากที่สุด' จะลงเอยอย่างไร ผมคงต้องมาเล่าต่อในคราวหน้า
แต่สำหรับตอนนี้ อย่างน้อยผมก็ดีใจที่ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายแพ้สักที
..ไม่ใช่ยอมแพ้ให้แก่ผมหรอก เขายอมพ่ายแพ้ต่อความรู้สึกของตัวเองแล้วต่างหาก
-----------------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า..
(1) โลกนี้ไม่มีอะไรยั่งยืน ไม่มีสิ่งใดที่รับประกันได้ว่าจะคงอยู่แบบนั้นตลอดไป
ยิ่งเราไปยึดติดกับสิ่งใดเท่าไร เราก็ยิ่งเจ็บเปล่าไปเท่านั้น
(2) เราอาจปฏิเสธทุกคนบนโลกได้ แต่ไม่มีทางปฏิเสธความรู้สึกในใจตัวเองได้
(c) 2009 Kanit M. // งานเขียนนี้มีลิขสิทธิ์ ห้ามลอกเลียนหรือนำไปเผยแพร่ซ้ำ
Note: สำหรับผู้อ่านที่เป็นสมาชิก Multiply สามารถโพสต์ความเห็นได้ที่
ลิงก์นี้ เด้อ..
นวย