ดองไว้ 2 ตอนจนเวลาผ่านไปเป็นปี ก็เริ่มรู้สึกว่าควรจะรีบๆ เขียนต่อได้แล้วล่ะ..
3 ตอนแรกได้แก่ เรื่องชื่อ, เรื่องฟังเพลง, เรื่องเล่นดนตรี สามารถย้อนอ่านได้ที่กระทู้เก่าๆ นู่น (0474–0477)
สำหรับวันนี้ก็จะมาต่อกันตอนที่ 4 คือเรื่องหญิง ..ตกแต่งจากที่เขียนไว้คร่าวๆ ตั้งแต่ปีที่แล้วนะครับ |
– 1 –
มันก็เป็นเรื่องแปลกๆ ในจิตใจมนุษย์เหมือนกันนะครับเนี่ย..
เมื่อมาวิเคราะห์ตัวเองได้ว่า
ผมเขียนเว็บไดอะรี่เพราะความเป็นโสดมันน่าเบื่อ ไม่สนุก!
ประมาณว่าไม่มีอะไรทำ ขนาดอยู่กับเพื่อนแล้วยังเหลือเวลาว่างจัด (ก็ไม่ค่อยเข้าเรียนนี่ฝ่า)
แถมด้วยอาการไม่รู้จะเล่าไอ้นู่นไอ้นี่ให้ใครฟังดี เวลาเจออะไรที่น่าสนใจ หรืออะไรขำๆ มา
ก็เลยมาประจวบเหมาะที่การเขียนลงเว็บซะ ตั้งแต่นั้นมาจนถึงวันนี้ก็นับได้ 6 ปีครึ่งแล้ว
(ผ่านยุคฮอตฮิตของไดอะรี่ออนไลน์ มาสู่ยุคเอะอะก็บล๊อก ก็แล้ว ก็ยังไม่เลิกเขียนซะที)
ถ้าวิเคราะห์ให้ลึกไปกว่านั้น เมื่อมองในแง่ที่ผมเคยรู้สึกในช่วงแรกๆ (ก่อนจะมาเขียนเอง)
มักจะรู้สึกว่า "คนที่มาคอยเล่าเรื่องส่วนตัวลงเว็บให้คนอื่นรับรู้ มันต้องจิตไม่ค่อยปกติแหงมๆ.."
แต่พอมองอีกมุมหนึ่งอย่างที่ตอนนี้มอง ..การได้ระบายอารมณ์ ได้แสดงออกถึงอะไรที่มันอัดอั้นใจ
ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ก็น่าจะถือเป็นการบำบัดจิตใจ ช่วยให้สงบสติอารมณ์ได้..
(แม้ว่าเล่าออกไปแล้วจะมีคนอ่านหรือไม่มีก็ตาม แต่เออ..มีคนอ่านบ้างก็น่าจะดีกว่านะ!)
แถมยังเป็นการฝึกเรียบเรียงเรื่อง เขียนออกมาให้มันอ่านรู้เรื่อง ได้ใจความ สื่อถึงอารมณ์ ด้วย
ซึ่งถ้ามองในแง่นี้ก็ต้องนับเป็นเรื่องที่ดี และน่าสนับสนุนให้ทุกคนได้มาเขียนกันจริงๆ เนอะ..
หลังจากเริ่มเขียนบันทึกลงเว็บได้แค่ครึ่งปี ก็ถึงวันที่ชีวิตผมได้พบกับคนๆ นั้นซะที
เป็นคนที่ยังทำให้ทุกวันนี้รู้สึกได้เลยว่า อารมณ์ "อยากจะบอกใครสักคน" อย่างในเพลงมันมีจริง
และทำให้ผม..จากที่เคยสับสน กลับกลายเชื่อมั่นมาตลอดว่า "คนเราเกิดมาเป็นคู่ ไม่ใช่เดี่ยว"
อย่างที่ชอบพูดในช่วงหลังๆ ไงครับ.. "โลกเราเนี่ยมีคนตั้งเยอะเป็นพันเป็นหมื่นล้าน
ยิ่งถ้ามองในมุมกว้าง มองมาจากนอกโลก คงจะเห็นว่าแต่ละคนเป็นจุดเล็กมากๆ เล็กกว่ามดอีก
และต่างคนก็ต่างทำนู่นทำนี่อยู่ตรงไหนซักมุมในโลก ทำไปอย่างไม่มีใครใส่ใจใครมากเท่าไร
(ซึ่งอันที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากมายขนาดนั้นอยู่แล้ว)
..สิ่งที่เราทำอยู่ก็เช่นกัน คงไม่มีใครสนใจเท่าไร
แต่เชื่อเถอะว่า ในโลกยังมีอยู่ 1 คน ที่เกิดมาเป็นคู่ของเรา เพื่อสนใจในสิ่งที่กันและกันได้ทำ
เหมือนชิ้นจิ๊กซอว์ ที่ต่างก็สวมเข้ากับความเว้าแหว่งของอีกคนได้แนบแน่นพอดิบพอดี.."
(โอ้! พูดได้เท่มากๆ ..ฮ่าๆๆๆ)
คนๆ นั้นของผมก็คือน้องยุ หรือคุณยุพี หรือเจ๊ยุ หรืออื่นๆ สุดแท้แต่จะเรียก นั่นเอง
(ช่วงหลังนี้เอ่ยนามบ๊อยบ่อย ก็ไม่รู้เป็นเพราะเพื่อนแวดล้อมเราไปเรียนนอกกันหมด หรือยังไง)
ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยมีแฟนมาก่อนครับ ไม่แม้แต่จะใกล้เคียงเลยด้วยล่ะ..
เพราะอะไรมันไม่ลงตัวสักทีครับ ..แต่โลกเราก็เป็นแบบนี้แหละ ถูกแล้ว!
ตอนเด็กๆ คนที่เราไปชอบเค้าก่อน ผมก็ไม่กล้าจีบ ไม่กล้าบอก เพราะไม่ได้คิดว่าต้องมีแฟน
พอโตขึ้นหน่อย เริ่มกล้าเปิดเผย (เพราะเห็นคนอื่นมีกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว) เค้าก็ไม่เอาเรา
ซึ่งอาจเพราะผมวางตัวไม่ดีก็ได้ (ผู้ชายส่วนใหญ่เวลาไปชอบใครมักจะเลิกลั่กๆ และทำอะไรบ๊องๆ)
แต่กับคนที่เค้ามาชอบเราก่อน เราก็มักจะไม่รู้ตัว พอมีคนบอกให้ผมรู้ทีหลังอะไรก็เปลี่ยนไปแล้ว
และที่จริงผมก็ไม่ได้ชอบคนที่เขามาชอบเราอยู่ดี แต่มักจะไปชอบคนอื่นอยู่ต่างหาก
..ซึ่งมันก็อย่างที่ว่าล่ะครับ โลกเราเนี่ย "อะไรก็ไม่ลงตัว"
จากที่พร่ำมาซะยาวก็เพื่อจะบอกว่า
เขียนลงเว็บได้ไม่นานผมก็มีคนคอยรับฟังเป็นตัวเป็นตนแล้ว
แถมยังดีกว่าเว็บไดอะรี่ที่สุดจะร้างผู้มาเยือนอันนี้ ตรงที่ช่วยคิดอะไรจิปาถะ+ชม+ติ ได้ด้วย
จากนั้นมา
พฤติกรรมการเขียนลงเว็บของผมจึงค่อยๆ เปลี่ยนไปเองโดยปริยาย
เว็บไดอะรี่ก็เริ่มไม่ใช่ไดอะรี่ เพราะไม่ค่อยเขียนเรื่องส่วนตัวแล้ว เน้นเรื่องคนอื่นซะเยอะ :P
แถมยังมีเรื่องมาเขียนน้อยลงๆ จนถึงกับห่างหายไปเป็นพักๆ (เป็นเพราะงานยุ่งด้วยในบางช่วง)
..ถึงยังไงก็ยังไม่ยอมเลิกเขียนอยู่ดีแหละครับ เป็นเพราะจิตไม่ปกติจริงๆ รึเปล่าก็ไม่ทราบได้! ..หงิ่ว!
แต่ถ้าตอบแบบจริงจังก็ต้องบอกว่า การมีแฟนไม่ได้ทำให้เลิกชอบการ(ฝึก)เขียนซักกะหน่อย
และอีกอย่าง เว็บบอร์ด php อันนี้เป็นงานอดิเรกของผม ที่ทำต่อเนื่องมาตั้งหลายๆๆๆ ปี
ถ้ายังรักจะพัฒนาต่อไป ก็ต้องคอยใช้งานมันเรื่อยๆ บ้างแหละเนอะ..
– 2 –
เอาล่ะ เข้าสู่เรื่องที่ไม่ค่อยมีใครรู้ซะที.. (เอ๊ะ! จริงเหรอที่เรื่องนี้ไม่ค่อยมีใครรู้อ่ะ?)
และเพราะเรื่องที่จะเป็นประเด็นวันนี้นั่นแหละครับ ที่ทำให้คิดไม่ตกว่าจะเอามาเล่าจริงหรือ
จนต้องเกิดการหยุดพักบล๊อกแท็กไปนานเป็นปี.. แต่ตอนนี้คิดตกแล้วล่ะครับว่าเล่าไปเถอะ
ไม่มีใครอ่านเยอะหรอกฟร่ะ หรือถึงมีก็ไม่น่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรอยู่ดี ไม่ได้ทำให้เขาเสียหายนี่ฝ่า
งั้นเพื่อเป็นการป้องกันปัญหา ขอแทนด้วยอักษรย่อเป็น A ละกันครับ กูเกิ้ลจะได้ตามไม่เจอ..
ช่วงเริ่มเขียนใหม่ๆ (ปลายปี 44) เป็นช่วงที่ผมเพิ่งได้เกี่ยวดองกับน้องผู้หญิง ม.3 คนหนึ่งครับ
น้องเขามาค่ายที่จัดโดยภาคไฟฯ และผมซึ่งเรียนอยู่ปี 3 ก็ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กๆ พอดี
น้องคนนี้มีนามกรอยู่แล้วว่า น้อง A (อันนี้เป็นสำนวนลิเก จะมีใครฮากับตูมั้ยเนี่ย..)
มาจากโรงเรียนประจำ หญิงล้วน แห่งหนึ่ง ในย่านธุรกิจที่มีรถไฟฟ้าวิ่งผ่าน (โหใบ้ซะ..)
น้อง A เธอเป็นคนที่เด่นที่สุดในบรรดาน้องๆ ที่มาทั้งหมด จากสองสาเหตุด้วยกัน
1. ดื้อและทำตัวมีปัญหามาก แค่ชั่วโมงแรกก็หายไปกับเพื่อนที่มาด้วยกัน หมายจะหนีกลับบ้าน
ร้อนถึงพี่ๆ ปี 4 ที่นำโดยประธานชมรมไฟฟ้า ตกใจตามล่าหาตัวกันให้ควั่ก (..ควั่กแปลว่าอะไร)
ถามความทีหลังจึงได้รู้ว่า เธอถูกที่บ้านบังคับให้มา โดยตัวเองไม่ได้สนใจอะไรพวกนี้เลย..
(ก็น่าเห็นใจนะครับ ตอนพวกเราอยู่ ม.3 มีใครอยากมาค่ายวิชาการแบบนี้บ้างล่ะ)
2. ลงมติกันแล้วว่าน่ารักที่สุด โดยเฉพาะพี่ อ. (ปี 4) ถึงกับประกาศตนว่าตูจะจีบ คนอื่นอย่ายุ่ง!
และนอกจากน้อง A จะหน้าตาโดดเด้งเกินชาวบ้านแล้ว ยังรู้จักแต่งตัวตั้งแต่ ม.ต้น ด้วยล่ะ
ฉะนั้นก็อย่านับเลยว่า นอกจากพี่ อ. แล้วยังมีทั้งพี่ทั้งน้องอีกกี่คนที่หมายปองเธออ่ะ
..แต่ผมคนนึงล่ะที่รู้สึกเฉยๆ เพราะ หนึ่ง ไม่ชอบเด็กดื้อ สอง พี่ อ. ประกาศตนไปแล้ว
และ สาม อายุห่างกันตั้ง 6 ปี เด็กมหา'ลัย กับเด็ก ม.ต้น มันจะดูทุลักทุเลไปหน่อยมั้ง
งานนั้นผมจึงไม่สนใจอะไรมากไปกว่าทำหน้าที่พี่เลี้ยงให้ดีที่สุด มีฮาบ้างประปรายแต่ไม่มาก
และไม่เคยคิดแม้แต่นิดว่างานนี้ใครจะหวังได้ได้แฟนน่ะ เด็กขนาดนี้มันจะเป็นไปได้ยังง้าย..
แล้วงานนั้นปรากฏว่าผลออกมาดีมากๆ เลย น้องๆ ให้ความไว้วางใจและสนิทสนมกับผมมากๆ
(เฉพาะน้องผู้ชายนะครับ เพราะผมเป็นคนคอยดูแล กินนอนกับน้องๆ ที่หอพักชาย)
จำได้ว่าปลื้มมากที่ทุกคนรุมเอาสมุดเฟรนด์ชิพมาให้เซ็น ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องให้รุ่นพี่เซ็นก็ได้
แต่ที่เป็นเรื่องใหญ่กว่านั้นคือ
มีน้องคนนึงมาบอกว่า น้อง A ชอบผม
จากการสังเกตมันก็น่าจะใช่แฮะ เพราะเธอคอยมองมาหาบ่อยๆ ผมก็ตื่นเต้นโทรปรึกษาเพื่อน
..เฮ้ย ทำไงดีวะ เกิดมายังไม่เคยเจอแบบนี้เลยอ่ะ (ตูก็อยู่ของตูดีๆ ..ทีไปจีบเค้าล่ะแห้วตลอด)
เพื่อนก็บอกให้คุยๆ กันไป ดูๆ กันไป อาจจะดีก็ได้ และก็อาจเป็นคราวที่ผมจะได้มีแฟนสักที!
(เอ๊ะ ชักไม่แน่ใจว่าแนะนำแบบนี้เพื่อให้ผมเลิกยุ่งกับน้องสาวเขาสักที รึเปล่า.. 555)
ยังจำได้จนวันนี้ น้อง A เธอบอกว่าสะดุดใจกับผมตั้งแต่เริ่มค่ายตอนเช้าวันแรกเลย
ตอนนั้นพี่ปีสี่ก็พูดพร่ำกันอยู่ ผมเป็นพี่เลี้ยงก็นั่งอยู่ข้างๆ แล้วดันมีเด็กตัวเล็กๆ ที่ไหนไม่รู้
วัยกำลังซนเลย เดินเข้ามาเล่นกับผม ผมก็เลยเล่นด้วย ตามประสาคนรักเด็ก.. 5555
(ไม่รู้เป็นลักษณะเฉพาะตัวหรือไร ไปที่ไหนต้องมีเด็กเล็กๆ เข้ามาเล่นด้วยอยู่ร่ำไปสิน่า!)
นั่นแหละครับ ความประทับใจแรก ..นอกนั้นก็ว่า ตัวโย่งๆ หน้าแนวญี่ปุ่นมั่งล่ะ อะไรมั่งล่ะ
ซึ่งมันก็เป็นแค่ความชอบแบบเด็กๆ น่ะครับ ผมได้ฟังก็ได้แต่ เฮ้อนะ..
หลังจากข่าวแพร่สะพัดไป พี่ อ. ก็ถอยทัพแต่โดยดี และไม่ลืมฝากคำพูดทิ้งท้ายว่า
"เฮ้ย เค้ามาชอบมึงแล้ว มึงก็อย่าโง่นะเว่ย กูบอกมึงได้เท่านี้แหละ.."
ซึ่งจนวันนี้ผมยังไม่เข้าใจเลยว่า ไอ้อย่าโง่เนี่ยมันหมายถึงอะไร แง่ไหน และต้องทำยังไง
หมายถึง อย่าปฏิเสธเขา? หรือว่า อย่าไปทำอนาจารเขา? หรือว่า อย่าลืมทำ? กันแน่
ไอ้คนพูดคำคมๆ เท่ๆ แบบนี้มันก็บ้านะ เพราะคนฟังไม่ได้เข้าใจกะมันด้วยเล้ย.. 5555
เมื่อจบค่ายนั้นแล้ว ผมก็ยังได้ติดต่อกับน้อง A อยู่เนืองๆ แต่ยิ่งดูมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งไม่ชอบ
เพราะเธอเป็นเด็กอ่ะ ยังมีความโลเลและความสนุกแบบเด็กๆ อยู่
ต่างจากผมซึ่งจะจบมหา'ลัยอยู่ในอีกไม่นานแล้ว มุมมองเรื่องการมีคู่มันต่างกันมากๆ
(เมื่อเธอได้เจอเพื่อนผมเช่นจ้ำ เธอก็หันไปชอบจ้ำ พอเจอบอยก็เปลี่ยนใจไปชอบบอย)
แถมยังเป็นตัวแทนเด็กในยุค msn, บอยแบนด์เอเชีย, ของแบรนด์เนม ฯลฯ ได้เป็นอย่างดี
เรียกว่าคนละโลกกับผมเลย ไม่ว่าจะนิสัย ความคิดอ่าน ไลฟ์สไตล์ รวมถึงบุคลิกการแต่งกาย
แต่ในช่วงไม่กี่เดือนที่คบค้าสมาคมกันอยู่ ก็ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่ 2-3 ทีครับ
และครั้งที่สำคัญที่สุดคือ
ถึงขนาดไปเดินสีลม เค้าท์ดาวน์ปีใหม่ กันสองต่อสองมาแล้ว
ซึ่งมันก็เป็นบรรยากาศที่โรแมนติคดีนะ ..แต่คิดอีกที นี่มันพรากผู้เยาว์ชัดๆ 555
และด้วยเหตุการณ์หลายๆ อย่าง ในที่สุดผมก็ตัดสินใจถอยห่าง (อย่าผวน) เธอออกมาเรื่อยๆ
ที่ถอยออกมาก็เพราะคิด (คนเดียว) ว่าถ้าผมยังอยู่ต่อไป เธอจะยิ่งเสีย เพราะผมไม่ช่วยดุ..
และก็ต้องถือว่าโชคดีของผมด้วย ที่ไม่ฝืนคบกันต่อจนถึงขั้นเป็นแฟน ไม่งั้นคงอยู่กันไม่ได้อยู่ดี
แล้วไม่นานผมก็ได้เจอกับคุณยุพี ที่สุดแสนจะลงตัวและคบกันได้ยืดจนปัจจุบันนี้ อีกด้วย
จากนั้นน้อง A ย้ายโรงเรียนไปอยู่ ม.4 แผนกญี่ปุ่น โรงเรียน ม.ปลาย ชื่อโคตรดังแห่งหนึ่ง
..น่าจะเป็นความคิดของผมส่วนหนึ่งด้วย ที่เชียร์ให้เป็นแบบนั้น เพราะหวังว่า
โรงเรียนสหะฯ น่าจะช่วยเปลี่ยนค่านิยมและอุปนิสัยบางอย่าง ที่ติดตัวมาจากสมัยหญิงล้วนได้
พอย้ายมาปุ๊บ เธอก็ได้เป็นเชียร์ลีดเดอร์กีฬาสี และก็มีแฟนเป็นทอมอยู่หลายครั้งทีเดียว
ในช่วงแรกๆ น้อง A และคุณยุพีได้โคจรมาพบกันหลายที และแต่ละครั้งนี่ราวกับละคร
คือว่า โผล่มาในจังหวะทีเด็ดที่จะทำให้ยุพีเข้าใจผิดและโกรธผมได้ทุกทีเลย แต่ยุพีก็ไม่โกรธ
(นั่นแหละครับ ถึงว่าเข้ากันกับคุณยุพีได้ดี คบกันอย่างเข้าใจกันที่สุดเลย..)
..ครั้งสุดท้ายที่เจอน้อง A จริงจัง คงเป็นตอนปีสี่ ที่ผมนัดเธอสัมภาษณ์ลงหนังสือประจำปีของภาค
เนื่องในฐานะที่เธอเป็นคนดังของค่ายครั้งแรก และเป็นภาพสะท้อนของวัยรุ่นในขณะนั้นได้ดี
(เป็นงานที่แปลกมาก ภายหลังคนที่ถูกสัมภาษณ์ก็ดังกันไปหมด ผมก็กะเกาะกระแสเขา.. 555)
หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ติดต่อกับน้อง A อีกเลย..
และก็ดูเหมือนว่าผมจะเชียร์ผิดนะ.. เพราะไม่นานก็ได้ข่าวว่าเธอเริ่มไม่ไปเรียนแล้วซะงั้น
ได้ยินว่าจะเบนเข็มไปเรียนต่อเมืองนอก อะไรประมาณนี้ แต่แล้วสุดท้ายก็ไม่ได้ไป
เป็นเพราะอะไรผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ข่าวทั้งหมดก็ได้จากการฟังๆ มาเท่านั้นเอง
เรื่องราวเกี่ยวกับน้อง A ในยุคนั้น (6 ปีที่แล้ว) ก็มีพอสังเขปเพียงเท่านี้แหละครับ
อะไรที่ไม่ดีๆ ก็ข้ามไปไม่ต้องเล่าบ้างเนาะ.. ตอนนั้นเธอยังเด็กอ่ะ จะยังเอามาถือก็ใช่ที่!
– 3 –
สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้สามารถนำมาเป็นบล๊อกแท็กตอนนี้ได้ มันเริ่มมาจาก..
ในวันรับปริญญาของคุณยุพี (เมื่อสามปีที่แล้ว) นั่นเอง ผมเป็นคนไปเดินถ่ายรูปให้ยุพีด้วย
แต่มีจังหวะนึงที่ผมพลัดแยกกับเธอ (น่าจะเป็นเพราะผมต้องไปหาน้องๆ กรุ๊ป ที่ลานเกียร์)
แปลกมากครับ! คุณยุพีก็ไปรับมอบตุ๊กตาจากคนที่ (ดัน) มาตามจีบในช่วงปีนั้นพอดี
และผมก็บังเอิญเดินไปเจอน้อง A พอดี.. เธอมางานรับปริญญาที่จุฬาฯ เช่นกัน
ก็ทักทายกระตู้วู้กันตามประสาที่ไม่ได้เจอกันนาน และถามว่าตอนนี้เธอเรียนที่ไหน ทำอะไร
เธอบอกว่า กลับไปเรียนที่โรงเรียนชื่อโคตรดังต่อแล้ว ช้ากว่าเพื่อนในรุ่นไป 2 ปี ก็ไม่เป็นไร
และเพิ่งได้ไปเล่นหนังของแกรมมี่ด้วยล่ะ ..ผมก็ เฮ้ย เจ๋งเลยอ่ะ เล่นเป็นบทอะไรอ่ะ
(ตื่นเต้นอีกละ เพราจะมีคนรู้จักที่ได้เป็นดารา 5555) ..เธอไม่ยอมบอก ให้รอดูเอง
หลังจากนั้นก็เห็นเธอในโฆษณาทีวีบ้าง สองสามอัน
เช่น ผ้าอนามัย, เจลใส่ผม
และ
หนึ่งปีถัดมา ภาพยนตร์ที่เธอเล่นก็เข้าฉายในโรง ..เธอได้รับบทนางเอก!
เป็นภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับไอ้หนุ่มที่ตามหญิงเข้าไปเรียนดนตรี และร่วมวงออร์เคสตร้าช่วงนั้นผมต้องรับโทรศัพท์พี่น้องสมัยค่าย อยู่หลายสาย (เช่น พี่ อ.) ทั้งที่ไม่เคยติดต่อกันเลย
ทุกคนถามผมว่า ที่เห็นในทีวีน่ะใช่น้อง A คนนั้นไหม ..ผมก็ต้องคอยตอบว่า ใช่ครับๆๆ
พลางนึกในใจว่า มาถามตูได้ไงฟะ ตูก็ไม่ได้ติดต่อกับน้อง A เลย.. ก็รู้เท่าๆ กันน่ะแหละ!
(แสดงว่าทุกคนยังคิดว่าผมคบกับน้อง A อยู่ ทั้งที่เรื่องมันผ่านไปตั้ง 4 ปีแล้ว)
ผมนั่งดูหนังเรื่องนั้นแบบไม่อินสุดๆ ..เพิ่งรู้ว่าการที่คนรู้จักไปเล่นหนังมันไม่ดีอย่างงี้เอง
หลังจากนั้นเธอได้เล่นโฆษณาน้ำดำ คู่กับพระเอก, ร้องเพลงลงอัลบั้มนิดนึงล่าสุดปีที่แล้วก็มีภาพยนตร์อีกเรื่อง ที่มีเธอ
เป็นนางเอกหนึ่งในสี่เรื่องย่อยร่วมแสดงด้วย
และคิดว่าในอนาคตคงมีงานเยอะขึ้นกว่านี้ แม้ผมจะดูเธอเล่นหนังแล้วไม่เคยอินเลยก็ตาม
ปัจจุบันเท่าที่รู้ เธอมีแฟน
เป็นนักร้องหนุ่มคนหนึ่งมาตลอดหลายปี ก็ไม่รู้ตอนนี้เป็นยังไง
(และบังเอิญมากๆ! คืนนี้ไอ้หนุ่มนั่นเป็น 1 ใน 5 ที่กำลังจะขึ้นเวทีรอบตัดสิน ของเอเอฟ 5)
..ยุพีเคยพูดเล่นว่า ถ้าผมเป็นแฟนน้อง A ไปตั้งแต่ตอนนั้น ป่านนี้ผมก็ดังไปแล้ว
ผมตอบว่า ไม่หรอก.. ถ้าเป็นแฟนจริงๆ ตอนนี้น้อง A คงไม่ได้เข้าวงการอ่ะ 5555
แบบนี้แหละดีแล้ว เหมาะสมที่สุดแล้ว.. และเธอจงภูมิใจนะ เพราะเธอดีกว่าน้อง A จริงๆ
หรือพูดง่ายๆ ว่า "เอานางเอกหนังมาแลกก็ไม่ยอม" :P
แล้วผมก็คบกับคุณยุพีแบบรักกันจัดต่อไป (ฮา)
ป.ล. นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่น้อง A เป็นดารา ที่ผมจะเล่าตรงๆ ว่าน้อง A เคยมาชอบผม
เพราะตลอดมาผมบอกใครๆ แค่ว่า รู้จักกับน้อง A ตอนเธอมาค่าย เท่านั้นเองแหละ..
ตูเป็นคนดีแมะ..555 (จะไม่ดีก็ไอ้ที่เขียนวันนี้แหละ แหม..
ใบ้ซะละเอียดทุกอย่างเลย!)
เปล่าหรอก! ที่ไม่เคยเล่าเพราะกลัวคนฟังไม่เชื่อต่างหาก ไม่รู้จะเล่าทำไม.. 55555 (ฮากว่า)
==========================================================
จริงอ้ะ! : เลขตอน 509 บวกกันได้ 14 ทำให้นึกได้ว่าน้อง A กับผมเกิดวันที่ 14 เหมือนกัน..
..ส่วนคุณยุพี เกิดวันที่ 7 เดือน 7 ก็จะบวกเลขได้เท่าวันเกิดผมคือ 14
ในขณะที่วันเกิดของผมคือ 14 เดือน 11 บวกกันก็จะกลับไปเป็น 7 คือวันเกิดยุพีด้วยล่ะ! |
นวย