0494
12/12/50 .. ต้นไม้-ก้อนดิน-รูป
แสดงทั้งหมด

[1] ดอกไม้ของพีอาตอบ: 4, อ่าน: 1317

หมายเหตุ : เรื่องเล่าต่อไปนี้ดัดแปลงจากเรื่องจริงล้วนๆ
แต่ไม่ใช่เรื่องของผมเองหรอกนะ เพราะว่า "ผม" ในเรื่อง นั่นคือตัวผมจริงๆ
ส่วนพระเอกในเรื่อง ขอสงวนนามจริงไว้จะเป็นการดีที่สุด.. ฮี่ๆๆๆ



     เรื่องมันเกิดในหมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่ที่พวกเราอยู่ แต่ชาวบ้านที่นี่นับว่าแปลกกว่าที่ไหนๆ ที่เราเคยได้เห็นได้ฟังกันมา เพราะพวกเขาเหล่านี้จะทำมาหากินโดยการใช้แรงงาน เพื่อแลกอาหารแค่พอยังชีพเสียเป็นส่วนใหญ่ เป็นต้นว่า รับจ้างแบกของ รับจ้างลากรถ รับจ้างขุดดิน โดยแทบทุกคนจะต้องเดินทางไปทำงานยังหมู่บ้านอื่นๆ เพราะที่นี่ไม่มีงานเพียงพอให้พวกเขาแบ่งกันทำได้ทุกวัน สาเหตุที่การทำมาหากินของชาวบ้านเป็นไปอย่างนั้นก็เพราะสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และอาหารการกินของที่นี่ ล้วนเอื้ออำนวยให้ชาวบ้านที่นี่มีร่างกายกำยำแข็งแรงกว่าชาวบ้านที่อื่นอย่างน่าประหลาด หากแต่ภูมิปัญญาของชาวบ้านเหล่านี้ก็ด้อยกว่าที่อื่นอย่างสมดุลกันเลยทีเดียว

     จึงไม่น่าแปลกใจถ้าใครมาเที่ยวที่หมู่บ้านแห่งนี้แล้วพบว่า ที่นี่ไม่มีโรงเรียนสอนวิชาความรู้ให้กับเด็กๆ เหมือนอย่างประเทศอื่นๆ ในสังคมโลกปัจจุบัน แต่เด็กๆ ทุกคนจะต้องผ่านหลักสูตรจากสำนักฟิตซ้อมร่างกาย ออกกำลังกาย และฝึกกล้ามเนื้อแทน ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาเป็นทอดๆ ต่างก็เชื่อโดยสนิทใจว่า นี่เป็นวิธีที่หวังดีที่สุด ที่พวกเขาจะถ่ายทอดไปให้ลูกหลานรุ่นถัดไปได้ เพราะเป็นทางเดียวที่จะช่วยรีดเอาศักยภาพของทุกคนที่นี่ออกมาได้มากๆ และการให้เด็กๆ ใช้เวลาไปกับศึกษาวิชาความรู้อื่นๆ ก็คงจะไม่เหมาะสมกับการไปทำงานใช้แรงงาน อันเป็นครรลองที่ถูกที่ควรของชาวบ้านที่นี่เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน เป็นอย่างยิ่งเลย

     แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ยังมีชาวบ้านอีกไม่น้อยที่เลือกจะเลี้ยงปากท้องด้วยงานแบบอื่น เช่น ปลูกข้าว ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ เพื่อแลกอาหารผักปลา และเด็กหนุ่มชื่อ "พีอา" พระเอกของเรื่อง ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ตัดสินใจจะฝ่าฝืนครรลองของหมู่บ้าน ถึงแม้ว่าตอนที่จบจากโรงเรียนมาแล้ว พลังกล้ามของเขาจะไม่ได้ขี้เหร่ไปกว่าคนอื่นเลยก็ตาม แต่เพราะพีอาเป็นคนรักสบาย ไม่ชอบเหนื่อย และเขาไม่อยากไปขายแรงงานนอกหมู่บ้านเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ ด้วย เอาเป็นว่าถ้าใครมาถาม เขาจะสามารถเล่าถึงข้อไม่ดีของการขายแรงงานได้ทุกแง่ทุกมุมเลยก็แล้วกัน ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะยังชีพโดยการปลูกดอกไม้ ทั้งที่จริงเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะทำงานปลูกดอกไม้ไปได้ดีสักเท่าไร และไม่รู้ว่าเขารักงานนี้สักแค่ไหน รู้แค่ว่ามันเป็นงานส่วนตัวที่สบายดีและไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างใคร บางทีเขาอาจจะแค่อยากทำมันเพียงเพราะว่ามันเหนื่อยน้อยกว่างานที่ใช้แรงงานก็เป็นได้

     อุปสรรคของพีอาช่างใหญ่หลวงนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปลูกดอกไม้เอง ที่เขายังไม่เคยศึกษาอย่างจริงจังเลยสักนิด เพราะในหมู่บ้านไม่มีที่ใดสอน ได้แต่ลองผิดลองถูก จนกระทั่งพอจะมีดอกไม้งอกขึ้นมาให้เขาได้ดีใจอยู่บ้าง ถึงจะยังแลกอาหารผักปลาไม่ได้มากมายเท่าไร ไหนจะเรื่องมารดาของเขาอีกเล่า ที่ไม่เคยเห็นด้วยกับงานที่เขาเลือกนี้เลย และเอาแต่คอยรบเร้าให้เขาเปลี่ยนใจมาขายแรงงานตามอย่างชาวบ้านส่วนใหญ่อีกด้วย รบเร้าหนักเข้าเห็นท่าจะสำเร็จยาก จึงเปลี่ยนจากการให้เปลี่ยนงานมาเป็นให้ฝึกร่างกายระดับสูงต่อไป โดยอ้างเหตุผลกับบุตรว่าเผื่องานปลูกดอกไม้ไปไม่รอดขึ้นมา จะได้ไม่เสียเวลาเปล่านักหากต้องเปลี่ยนไปขายแรงงานในภายหลัง พีอาฟังแล้วยังสงสัยว่าเขาจะไปเปลี่ยนงานในภายหลังได้อย่างไร ในเมื่อผู้ว่าจ้างแรงงานที่หมู่บ้านอื่นๆ นั้น นิยมจ้างแต่เด็กหนุ่มๆ ที่เพิ่งสำเร็จหลักสูตรการฟิตร่างกายจากสำนักต่างๆ มาใหม่ๆ เท่านั้น เนื่องจากมีกำลังวังชาดีกว่า แล้วก็ยังขยันกว่าด้วย

     เขาไม่รู้สึกกลัวอุปสรรคทั้งสองเท่าไร และยังเที่ยวคุยให้ชาวบ้านฟังด้วยว่าในอนาคตเขาจะมีชีวิตที่สุขสบายยิ่งกว่าผู้ใช้แรงงานทุกคนในหมู่บ้าน แม้นมีใครเอ่ยถึงความยากลำบากของงานปลูกดอกไม้ให้เขาฟัง เขาก็ไม่เคยจะคิดหวั่นเกรงสักนิด เพราะเขาถือคติว่า ไม่มีคนปลูกดอกไม้คนใดที่ปลูกดอกไม้แปลงแรกแล้วเจริญรุ่งเรืองเลยหรอก มันต้องทนไปก่อน สักสี่ห้าปีแล้วค่อยสุขสบายก็ยังถือว่าไม่สายเกินไป ทุกครั้งที่เขาพูดเรื่องทำนองนี้ แววตาของเขาจะเป็นประกายเลยทีเดียว ทำให้เพื่อนๆ ได้แต่ส่ายหน้าเพราะพีอาไม่เคยฟังคำตักเตือนของใครเลย และเพื่อนๆ ก็เผื่อใจว่าพีอาอาจจะทำสำเร็จอย่างที่เขาพูดไว้จริงก็ได้ จึงไม่ได้จริงจังกับการเป็นห่วงพีอาอีก


     ผมเองก็เป็นคนปลูกพืชผักเช่นเดียวกัน ถึงแม้ไม่ได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ก็ตาม ผมรู้จักกับพีอาเมื่อครั้งที่เพื่อนแนะนำให้รู้จัก ว่าเป็นคนปลูกดอกไม้รุ่นใหม่ที่สนใจจะคบหาสมาคมตามประสาเพื่อนร่วมอาชีพในทางเดียวกัน เรื่องทั้งหมดที่ผมเล่ามาตั้งแต่ต้นก็คือเรื่องที่พีอาเล่าให้ผมฟังในครั้งแรกที่รู้จักกันนั่นเอง และผมก็รู้สึกชื่นชมในความเด็ดเดี่ยวของเขาอยู่พอสมควรทีเดียว ..แต่เมื่อผมได้มีโอกาสไปชมแปลงดอกไม้ของเขา ก็อดประหลาดใจแกมเป็นห่วงไม่ได้ เพราะดอกไม้ของเขานั้นมันมีน้อยยิ่งกว่าชาวบ้านบางคนที่ปลูกเล่นๆ ในบ้านเสียอีก แถมดอกไม้ของพีอาแต่ละดอกยังดูซีดเซียวเหี่ยวแห้งพิลึก เมื่อผมได้ลอบสังเกตวิธีการดูแลดอกไม้แบบขอไปทีของเขาหลายครั้งแล้วนั่นแหละ จึงได้หายสงสัย

     ถึงแม้ผมจะไม่เคยปลูกดอกไม้ แต่การดูแลพืชผักมันก็คงมีอะไรหลายอย่างที่น่าจะคล้ายดอกไม้อยู่บ้าง ผมจึงแน่ใจว่าการดูแลดอกไม้แบบที่เขาทำนั้นมันไม่เป็นการดีเท่าไร จึงได้ถามเขาไปในเชิงแนะนำ "ทำไมท่านจึงไม่ดูแลดอกไม้อย่างใส่ใจกว่านี้ล่ะ ในเมื่อมันเป็นงานเดียวของท่าน ที่ท่านเลือกแล้ว" แต่คำตอบของเขากลับเป็นการโทษพันธุ์ดอกไม้ ดินฟ้าอากาศ ศัตรูพืช และอื่นๆ ทั้งหลายทั้งปวง โดยไม่ได้ยอมรับเลยแม้แต่น้อยว่าวิธีการใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์โดยอ้างว่าทำปุ๋ยเองไม่ดีเท่า, รดน้ำแค่เท่าที่มีแรงโดยอ้างว่าไม่อยากให้ชุ่มเกินไป, ไม่ขยันปลูกดอกใหม่เพิ่มโดยอ้างว่ายังไม่มีพันธุ์ดีๆ, และอื่นๆ ของเขา มันไม่ได้การตรงไหน

     แปลงดอกไม้ของพีอาก็ได้แต่อยู่ในระดับทรงๆ เรื่อยมา จนกระทั่งช่วงหนึ่งพีอาก็หายหน้าไปนานหลายปีอยู่ ผมไปเยี่ยมเยียนกี่ครั้งก็ไม่ได้เจอหน้ากันสักที เหมือนกับว่าเขาไม่ค่อยมีเวลา เห็นแต่แปลงดอกไม้เหี่ยวๆ ของเขาที่ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า บางครั้งบางดอกก็หายไปและบางครั้งก็มีบางดอกใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา เพื่อรอวันเหี่ยวเฉาตายไปในอีกไม่นาน เป็นการบอกให้ผมรู้ว่าพีอายังคงมีเวลาปลูกดอกไม้อยู่บ้าง และวิธีการดูแลของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเสียด้วย เมื่อถามข่าวคราวของเขาจากเพื่อนในหมู่บ้านจึงได้ความว่า พีอาทนฟังเสียงรบเร้าให้กลับไปฟิตร่างกายจากมารดาทุกวันๆ ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขาจึงกลับเข้าสู่สำนัก และใช้เวลากว่าสองปีจึงสำเร็จการฝึกที่มีชื่อว่า 'กล้ามเทพ' ซึ่งเป็นการฝึกฝนให้กล้ามเนื้อที่มีอยู่สามารถรับแรงได้มากขึ้นกว่าขีดจำกัดเดิม โดยเมื่อมองจากภายนอกแล้วจะไม่มีใครสังเกตเห็นความแตกต่างได้เลย (นอกจากจะแบกของหรือขุดดินโชว์เท่านั้น) ซึ่งการฝึกนี้ถือว่ามีประโยชน์กับการใช้แรงงานอย่างมาก เพื่อนวัยไล่เลี่ยกับพีอาอีกกว่าครึ่งของหมู่บ้านก็ล้วนสำเร็จการฝึกกล้ามเทพนี้ด้วยกันทั้งสิ้น การฝึกกล้ามเทพจึงไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอีกต่อไป ..แต่ถึงอย่างไร การที่พีอาสำเร็จการฝึกระดับกล้ามเทพก็ยังถือเป็นเรื่องน่าพึงพอใจแก่มารดาของเขายิ่งนัก

     แล้วสำหรับตัวพีอาเองน่ะหรือ? เขามาบอกผมในภายหลังว่า นอกจากร่างกายที่รู้สึกว่าลมปรานภายในแผ่ซ่าน (ซึ่งไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า) และรู้สึกบึกบึนมีกำลังมากขึ้นกว่าเดิมเพียงนิดหน่อยเท่านั้น ก็ไม่มีอะไรอื่นอีกที่เวลาสองปีของเขาสามารถแลกมาได้เลย ..แต่อย่างน้อยเขาก็กลับมาดำรงชีวิตโดยการปลูกดอกไม้เหมือนเดิมได้ต่อไปอย่างสบายใจขึ้นโข เพราะไร้เสียงมารดาที่คอยรบเร้าอย่างเดิมแล้ว


     แต่ไม่นานหลังจากนั้น ด้วยความรักสบายของพีอานั่นเองที่เป็นตัวการ ทำให้งานปลูกดอกไม้ของเขาไม่เห็นวี่แววว่าจะใหญ่โตเหมือนที่เขาพูดเสียที ก็จะเป็นไปได้อย่างไรเล่าในเมื่อเวลาที่มีมากมายในแต่ละวัน เขาใช้ไปในการดูแลดอกไม้แค่พอไม่ให้มันตาย เพียงวันละสองสามชั่วโมงเท่านั้น เวลาที่เหลืออย่าว่าแต่จะไปค้นคว้าเพิ่มเติมหรือศึกษาเกี่ยวกับการดูแลดอกไม้ การพัฒนาพันธุ์ดอกไม้ หรือการเตรียมดินที่อุดมสมบูรณ์เลย เอาแค่ว่าดูแลดอกไม้ที่มีอยู่น้อยนิดอย่างตั้งใจ ไม่ใช่แค่พอรอดไม่ให้เฉาตาย พีอาก็ยังไม่ทำเลย เขาเอาแต่ใช้เวลาเที่ยวเตร่ให้หมดไปวันๆ อย่างสบายใจ (และไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน ทำไมจึงบ่นว่าไม่ค่อยมีเวลาอยู่เรื่อย) แม้บางครั้งเขาเริ่มบ่นกับเพื่อนด้วยความท้อใจบ้าง ว่างานปลูกดอกไม้ดูท่าจะไม่เจริญรุ่งเรืองเสียที แต่เขาก็ไม่ยักเคยปรับปรุงตัวเองตามที่เพื่อนแนะนำ ว่าให้เอาใจใส่กับงานให้มากกว่านี้ เลยสักนิด ..ผมว่าอุปสรรคใหญ่หลวงที่สุดของเขา น่าจะอยู่ที่วิธีการทำงานของเขาเสียมากกว่าอย่างอื่น

     จนกระทั่งวันนี้เอง พีอาก็มาเปรยกับผมว่า
"มารดาของข้า ไล่ให้ข้ากลับไปเข้าสำนัก เพื่อสำเร็จการฝึกระดับ 'กล้ามอุลตร้าเทพ'.."
ผมประหลาดใจมาก เพราะการฝึกกล้ามอุลตร้าเทพนี่ถือเป็นระดับสูงสุดของการฝึกร่างกายของหมู่บ้าน

     "แต่ท่านสำเร็จระดับกล้ามเทพมาแล้วนี่นะ มารดาท่านยังไม่พอใจอีกหรือ"
"มารดาเห็นข้ามีเวลาเหลือมากมาย จึงเห็นว่าควรใช้เวลานี้ให้เกิดประโยชน์ต่ออนาคตน่ะท่าน และการ
  ตอบชาวบ้านว่าบุตรกำลังฝึกร่างกายขั้นสูงอยู่ ย่อมน่าฟังมากกว่าปลูกดอกไม้เหี่ยวๆ อยู่ มิใช่หรือ"
"แล้วตัวท่านเองคิดเห็นอย่างไรล่ะ"
"ข้าก็ต้องยอมตามประสาบุตรที่ดี และอีกอย่างหนึ่ง ข้าก็ไม่อยากทนฟังเสียงรบเร้าอีกด้วย"
"ระดับกล้ามอุลตร้าเทพนี่ใช้เวลาฝึกกันกี่ปีรึ.."
"ก็อย่างน้อยคงจะ 5 ปีล่ะท่าน"
"โอ้โห.. สำเร็จมาแล้วท่านก็คงจะเป็นหนึ่งในไม่กี่คน ที่มีพละกำลังมากที่สุดในหมู่บ้านเลยสินะ"
"ก็คงอย่างนั้น.. ข้าจึงได้สนใจจะเข้ารับการฝึกยังไงล่ะ"

     "ถ้าอย่างนั้นเมื่อฝึกเสร็จแล้วท่านคงจะไปขายแรงงาน ใช่หรือไม่"
"หามิได้.. ถ้าให้ตอบตอนนี้ข้าคิดว่าคงจะปลูกดอกไม้เหมือนเดิม"
"งั้นยินดีล่วงหน้าด้วย ท่านคงเป็นคนปลูกดอกไม้ที่มีกล้ามแข็งแรงที่สุดในโลก
  จนผู้ใช้แรงงานทั่วโลกต้องหันมามองด้วยสายตาอิจฉา"
"..ทั้งที่มันไม่ได้ช่วยอะไรกับการปลูกดอกไม้ของข้าเลยน่ะหรือ?"
"ฮ่า! นั่นเป็นสิ่งที่ข้าต้องถามท่านต่างหาก!"


คุณผู้อ่านมีอะไรที่อยากฝากผมไปบอกพีอาไหมครับ..

-----------------------------------------------------------------------------------------------

     เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า..
(1) ถ้ายังไม่รู้ว่าจะไปไหน มันก็ยากที่จะไปถึงที่ไหนสักแห่งได้
(2) ถึงจะรู้แล้วว่าต้องการไปไหน ก็ใช่ว่าจะไปถึงได้ง่ายๆ ถ้ามีแค่ความต้องการเท่านั้น
(3) การเดินตามคนอื่น หรือทางที่คนอื่นบอก ไม่ได้ช่วยให้เข้าใกล้จุดหมายขึ้นเลยสักนิด
     ถ้ายังไม่ชัดเจนแน่วแน่พอว่าจะไปไหน
นวย 21/12/2007 17:13 
โหย... รู้สึกตัวเองมีรัศมีพระเอกจับทันที - -'
Shauฯ 21/12/2007 17:47  [ 1 ] 
ความจริงคนที่คล้ายพระเอกที่สุดก็คือพี่นวยนั่นแหละ แต่ยังไม่แย่ขนาดนั้น..

ส่วนน้องชอฯ รัศมีจับเพราะกำลังจะสำเร็จหลักสูตรกล้ามเทพ หรือเปล่า.. 555
ไม่ยักคิดมาก่อนว่าจะไปคล้ายใคร (นอกจากตัวจริงของพระเอก) เลยนะเนี่ย
แสดงว่าตีความได้หลายอย่างแฮะ!
นวย 21/12/2007 18:25  [ 2 ] 
รู้สึกว่าตัวเองก็ตรงกับทั้งสามข้อเลยแฮะ
ยุป๊ะ 03/01/2008 14:09  [ 3 ] 
โอ..แย่แล้ว อยู่ดีๆ บิดาของข้าพเจ้าก็มาถามว่า ปีหน้าไม่ฝึกวิชา 'กล้ามอุลตร้าเทพ' เลยหรอ
...ข้าพเจ้าเคยพูดเรื่องนี้ตั้งแต่เมือ่ไหร่นี่ -"-
แค่ฝึกกล้ามเทพก็จะโดนธาตุไฟเข้าแทรกแล้วนะนี่

ปล.สงสัยจะเกิดอุปาทานหมู่ คุณยุป๊ะก็เลยรู้สึกว่าตรงทั้ง 3 ข้อด้วย :P
Shauฯ 28/01/2008 11:01  [ 4 ] 
สามารถใส่ html tag โดยใช้เครื่องหมาย { } แทน < >      
ความเห็น : 
จาก : : รหัส
(อีเมล/เว็บไซต์) : อัพโหลดรูป/ไฟล์
ถ้าไม่มีรหัสประจำตัว กรุณาใส่ "เลขหนึ่งสี่ตัว" ด้วยครับ