26/7/46 .. เลือกมือถือ ตอนที่ 2ตอบ: 7, อ่าน: 1478

ความเดิมจากตอนที่แล้ว ผมตัดสินใจได้แล้วว่าจะใช้ DTAC
แต่ยังไม่ได้เลือกว่าแพคเกจไหนคุ้มค่ากว่ากัน
และตามประสาครูสอนคณิตศาสตร์ ม.ปลาย แล้ว
ต้องเอาให้ละเอียด..
มาดูกันต่อครับ

ผมเข้าไปหารายละเอียดค่าบริการจากเว็บไซต์ DTAC
(www.dtac.co.th)
ก็พบว่ามีแพคเกจต่างๆ ดังนี้
... สามแพคเกจแรกเป็นแบบเหมาจ่าย
1. เหมาจ่าย DLite (4 บาทต่อนาที, ขั้นต่ำ 250 บาท)
2. เหมาจ่าย DMedium (3 บาทต่อนาที, ขั้นต่ำ 750 บาท)
3. เหมาจ่าย DMax (2 บาทต่อนาที, ขั้นต่ำ 1200 บาท)
... แพคเกจเหมาจ่ายอีก 2 แบบถัดมาเป็นแบบพิเศษ
4. เหมาจ่าย DFlex (3 บาทต่อนาที, ขั้นต่ำ 400 บาทโทรได้ 100 นาที)
5. เหมาจ่าย my Package (ค่าโทรเป็นทศนิยมไม่คงที่ จะค่อยๆ ลดลง,
เป็นเส้นโค้งคล้ายพาราโบลา, ค่าบริการรวมต้องดูเอาจากกราฟ)
... และแพคเกจสุดท้ายคือแบบเติมเงิน
6. เติมเงิน Happy DPrompt (5 บาทต่อนาที,
แต่ถ้าโทรในช่วงเวลาที่เลือกไว้ จะลดเหลือ 2.50 บาทต่อนาที)

ผมก็ดูไปดูมา เอ๊ะ แล้วอันไหนมันคุ้มกว่ากันหว่า
ถ้าโทรซัก 100 นาที อันไหนดีกว่ากัน
แล้วถ้าเกิดโทรมากขึ้นหรือน้อยลง อันไหนจะถูกกว่ากันแน่
แล้วแพคเกจใหม่ my จะดีไหมนะ ฯลฯ
ทำไปทำมา ผมได้ไอเดียครับ.. ใช้โปรแกรมพลอตกราฟซะเลย

กราฟต่อไปนี้ผมพลอตเฉพาะเหมาจ่าย 4 อัน
ไม่รวม DMax นะครับ เพราะยังไงก็ใช้ไม่ถึงขนาดนั้น
โปรแกรมที่ใช้คือ Equation Grapher
(แพคเกจ my ผมไม่ทราบสมการคำนวณที่แท้จริง
ก็เลยใส่จุดลงไป ให้โปรแกรมประมาณเอาแบบกำลังสาม
เพื่อให้ได้ error น้อยกว่า 0.01%)

view full size (564 x 413 px)

อธิบายกราฟที่ได้ก่อนนะครับ
แกน y คือเงินที่ต้องจ่าย ยิ่งสูงยิ่งแพง คล้ายๆ กับปลาหมึกบด
ดูแค่เส้นสีส้มคือ DLite กับสีม่วงคือ DMedium
จะเห็นว่าห่างกันอยู่เยอะเหมือนกันครับ
เขาเลยเพิ่มแพคเกจใหม่มาเป็น DFlex เส้นสีเขียว
มาอยู่ตรงกลางระหว่างสีส้มกับสีม่วง
ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสามเส้นนี้เป็นเส้นตรงครับ
คือไม่ว่าจะโทรมากแค่ไหนค่าโทรต่อนาทีก็ยังเท่าเดิม

แพคเกจใหม่ล่าสุดคือ my ก็น่าสนใจ
ที่บอกว่ายิ่งโทรมากค่าโทรก็ถูกลงเรื่อยๆ ทุกๆ นาที
แต่พอพล็อตกราฟแล้วรู้สึกแปลกๆ ครับ
รู้สึกว่าช่วงต้นๆ แพคเกจ my จะแพงกว่า DLite และ DFlex นะ

ทีนี้ผมเอากราฟนี้มาเติมเส้นกำกับ และตัวเลขลงไป
เพื่อให้ดูง่ายขึ้น

view full size (564 x 413 px)

เป็นไงครับ เริ่มงงหรือยัง
สาเหตุที่ลากเส้นแนวนอนทั้ง 4 สี (250,350,400,750) ก็เพราะว่า
เป็นอัตราค่าโทรขั้นต่ำครับ โทรน้อยแค่ไหนก็ต้องจ่ายเท่านี้อยู่ดี

จากกราฟนี้ผมสรุปเลยว่า
ถ้าโทรไม่ถึง 100 นาที ควรใช้ DLite
100 ถึง 212 นาที ใช้ DFlex
212 ถึง 218 นาที ใช้ my
เกิน 218 นาที ใช้ DMedium

แต่อ๊ะๆ เดี๋ยวก่อน แล้วใครจะไปควบคุมให้โทร 212-218 นาทีได้
มันเฉียดฉิวไปหน่อย ฉะนั้นต้องอนุโลมให้ 212 นาทีเป็นต้นไป
ควรใช้ DMedium.. (ช่วง 212-218 ก็จ่ายแพงกว่า my ไม่ถึง 14 บาท)

เอาล่ะครับ ในเมื่อผมสรุปได้แบบนี้แล้วเรื่องก็น่าจะจบ
แต่ที่จริงยังแฮะ..
เพราะผมกะไม่ถูก ว่าผมใช้เดือนละกี่นาที
เท่าที่โทร PCT อยู่ตอนนี้โทรเข้ามือถือเดือนละ 110 นาทีโดยประมาณ
แต่ว่า PCT คิดขั้นต่ำ 2 นาที ก็เลยไม่รู้ว่าจริงๆ โทรกี่นาทีกันแน่
บวกกับโทรเข้าเบอร์บ้านด้วยแล้ว จะเกินหรือไม่เกิน 100 นาทีหว่า..

มาดูสถานการณ์สมมติกันครับ
ถ้าผมเลือกใช้ DLite (สีส้ม) แล้วดันโทรเกิน 100 นาที
ดูกราฟแล้ว ผมก็จะต้องจ่ายแพงกว่า DFlex (สีเขียว) นิดหน่อย
(คือช่วง 100 เป็นต้นไป เส้นสีส้มมันสูงกว่าสีเขียวแค่นิดเดียว)
แต่ถ้าโทรเกิน 150 นาทีนี่ไม่ไหวแล้ว เพราะจะแพงกว่า my (สีฟ้า) ด้วย..

แต่ถ้าผมเลือก DFlex (สีเขียว) แล้วดันโทรไม่ถึง 100 นาที
ก็จะต้องจ่าย 400 อยู่ดี และเห็นได้ว่าแพงกว่า DLite (สีส้ม) อยู่มาก
ข้อดีของ DFlex ก็มีนะครับ คือไม่ต้องคอยกังวลเรื่องโทรมากโทรน้อย
ยังไงก็ต้องจ่าย 400 ..ก็โทรไปตามสบายได้ ถ้ายังไม่เกิน 100 นาที

สรุปอีกที ถ้าโทรเกิน 100 นาทีชัวร์ๆ ทุกเดือน ควรใช้ DFlex (สีเขียว)
แต่ถ้าโทรเกินบ้าง ไม่บ่อย และไม่น่าจะถึง 150 นาที.. ควรใช้ DLite (สีส้ม)
และตอนนี้ผมว่า ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมคงจะเริ่มจาก DLite นี่ล่ะครับ

... อีกไม่นานผมต้องทำงานแล้ว ใครช่วยบอกได้ไหมครับ
ว่าจะต้องใช้โทรศัพท์มือถือมากขึ้น หรือน้อยลงกันแน่
และอยากรู้ด้วยว่าถ้าใช้ๆ ไปแล้วผิดคาด และต้องการเปลี่ยนแพคเกจ
ระหว่าง DLite กับ DFlex จะสามารถขอเปลี่ยนได้ทันทีหรือเปล่า..

เอ๊ะ คุณว่าผมบ้าป่าวเนี่ย มาคิดอะไรละเอียดขนาดนี้
นึกซะว่าอย่างน้อยก็ทำให้จับได้ ว่าแพคเกจ my ไม่ดีสำหรับเราๆ เลย
เหมาะกับคนที่ใช้เกิน 325 นาทีเท่านั้น (กราฟนี้พลอตไปไม่ถึงนะครับ)..
เอาล่ะครับ ขอจบหัวข้อการสนทนาแต่เพียงเท่านี้
ถ้าวันไหนได้เลือกรุ่นมือถือแล้วมีอะไรน่าสนุก
จะมาเขียนต่อตอนที่ 3 ครับ..



ของแถม สำหรับคนที่บังเอิญใช้ DTAC อยู่..
และกำลังจะเลือกระหว่างเติมเงิน หรือเหมาจ่ายดี
ผมมีกราฟสุดท้ายมาฝากครับ

view full size (564 x 413 px)

จะเห็นว่ามีบริเวณที่แรเงาสีแดงๆ เพิ่มเข้ามา
ซึ่งช่วงนี้ก็คือราคาค่าบริการของ DPrompt แหละครับ
โดยเส้นบนคือ 5 บาทต่อนาที (เป็นอัตราค่าโทรสูงสุด)
และเส้นล่างคือ 2.5 บาทต่อนาที (เป็นค่าโทรต่ำสุด คือคิดว่าโทรในช่วงเวลาตลอดเลย)
ดังนั้นค่าใช้จ่ายจริงๆ ก็จะต้องอยู่ในช่วงที่แรเงานั่นเอง
จะใกล้เส้นบนหรือล่าง ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการโทร ครับ
ว่าโทรในช่วงเวลาแฮปปี้ ที่เลือกไว้มากน้อยแค่ไหน

ถ้าสังเกตดีๆ จะรู้ว่าหากโทร 5 บาทเต็มๆ จะแพงกว่าเหมาจ่าย
แต่ถ้าโทร 2.50 บาทเลยเต็มๆ จะถูกกว่าเหมาจ่ายเยอะเลย
สาเหตุที่ผมไม่เลือกใช้เติมเงินก็เพราะว่า
ผมคงไม่ได้โทรในช่วงเวลาใดมากเป็นพิเศษ
เวลาที่มีให้เลือกคือ.. 09-15 เจาะกลุ่มคนทำงาน
15-19 เจาะกลุ่มนักเรียน 21-24 เจาะกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบเม้าท์
และ 24-09 อันนี้ผมคิดว่าเจาะกลุ่มยามรักษาความปลอดภัย
หรือคุณแม่บ้านเย็บผ้าโหล.. เอ๊ะ..น่าจะเป็นพวกเที่ยวกลางคืนมากกว่า..

ผมคำนวณมาให้คร่าวๆ แล้วล่ะครับ ว่าถ้าจะใช้ DPrompt ให้คุ้มนั้น
ต้องโทรน้อยกว่าเดือนละ 50 นาที (ดูจากกราฟ ยังไงก็ถูกกว่า DLite สีส้ม)
หรือไม่ก็ถ้าโทรมากๆ ต้องโทรนอกช่วงเวลาแฮปปี้ที่เลือกไว้
เป็นอัตราส่วน น้อยกว่า 2:1 เท่านั้นจึงคุ้ม
คือถ้าโทรในช่วงเวลา 1 นาที แต่โทรนอกช่วงเวลา 2 นาที อย่างนี้ไม่คุ้ม..
โอเค ลองประมาณกันดูนะครับ ส่วนผมขอไปนั่งคิดประมาณเหมือนกันว่า
ผมเองโทรเกินหรือไม่เกิน 100 นาทีต่อเดือนกันแน่.. อิๆๆ..

แล้วถ้าใครใช้บริการเจ้าอื่นอยู่ อย่างเอไอเอส หรือออเร้นจ์
คิดจะพลอตกราฟเล่นๆ บ้างก็น่าสนุกนะครับ :]
เผลอๆ เอามาเทียบกัน จะได้รู้ว่าเจ้าไหนแพงกว่าเจ้าไหนด้วย..