ช่วงสามสี่วันมานี้ผมมีเวลาอยู่กับบ้านตลอด
เรื่องที่วนเวียนอยู่ในหัวสมองผม มีแค่สองเรื่อง
คือ โปรเจ็ค กับเปิดร้าน
หนึ่ง ผมต้องรีบทำโปรเจ็คปีสี่ ให้เสร็จโดยด่วน ไม่งั้นอาจเป็นเรื่องได้
และสอง ผมคิดถึงความฝันที่เรียนจบแล้วจะเปิดร้านขายของสักร้าน
ทั้งสองเรื่องนี้ยังไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยแฮะ..
วันนี้เล่าเรื่องโปรเจ็คก่อน แล้วพรุ่งนี้จะเล่าเรื่องเปิดร้านครับ : ]
นิสิตปีสี่คณะวิศวกรรมศาสตร์ทุกคนต้องผ่านวิชาโปรเจ็ค
ใครไม่รู้กำหนดไว้อย่างนั้น
งานหนักของนิสิตปีสี่ (ซีเนียร์) อย่างผม ก็เลยเป็นซีเนียร์โปรเจ็คนี่ล่ะ
และเนื่องจากผมเรียนสาขาสื่อสาร ดังนั้นหัวข้อโปรเจ็คก็หนีไม่พ้นเรื่องนี้
มีข้อบังคับให้เลือกหัวข้อโปรเจ็คและอาจารย์ที่ปรึกษา ให้เสร็จก่อนจบปี 3
ซึ่งผมก็ติดสอยห้อยตามเพื่อนสาวคนหนึ่งไปตามคำชักชวน และโฆษณา
เธอบอกว่า อาจารย์ ฮ.(นามสมมติ) สิ ..
ใจดี ให้คะแนนก็เยอะ รุ่นพี่แนะนำมา..
ผมเพิ่งเข้าใจก็เมื่อตอนไปพบอาจารย์ด้วยกันนี่เอง
ว่าหัวข้อโปรเจ็คน่ะไม่อิสระนะครับ.. เรื่องที่เราคิดเองไม่มีทางได้ทำ
เพราะอาจารย์แต่ละคนล้วนมีหัวข้อที่สนใจมาให้พวกเราเลือกเอาตามชอบ
ทีแรกเลย ผมอยากทำเรื่องเกี่ยวกับการเข้ารหัสเสียง (ดิจิตอล)
แต่เอาโครงการไปเดินเร่ เสนออาจารย์แล้วรู้สึกว่าไม่ได้การ
จำต้องเข้าพบอาจารย์ ฮ. (นามสมมติ) อย่างที่บอก..
และแล้วหัวข้อโปรเจ็คที่ผมเลือกออกมาจากที่มีให้ ก็คือ Turbo Code
อะไรคือ Turbo Code เนี่ย
หลังจากนั้น มานั่งคิดนอนคิด นั่งเปิดดูตำราที่ลงทุนถ่ายสำเนามา
เริ่มหวั่นๆ.. แบบนี้ดีแล้วเหรอ ??
Turbo Code เป็นกรรมวิธีการเข้ารหัสดิจิตอลแบบใหม่
โดยเพิ่มข้อมูลสำหรับควบคุมและแก้ไข error ลงไปด้วย
ใช้สำหรับช่องสัญญาณที่มีสัญญาณรบกวนมากๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ
... สรุปว่า ผมต้องการทำเรื่องเข้ารหัสแบบบีบอัดน่ะ..
อยากใช้ความจุแบบแบบมีประสิทธิภาพน่ะ
แล้วสุดท้ายกลายเป็นเข้ารหัสแบบไม่บีบอัด
แถมยังเพิ่มข้อมูลลงไปมากขึ้นอีก... เพื่ออะไรหว่า ...
เรื่องที่ต้องทำตอนปี 4 ตลอดทั้งปี จะเป็นเรื่องที่ไม่ชอบ..
.. แบบนี้ดีเหรอ
และแล้วหลังจากฝึกงานภาคฤดูร้อนเสร็จ.. ก็เปิดเทอม ปี 4 จนได้..
ผมและคู่หูโปรเจ็คเข้าไปหาอาจารย์บ่อยๆ
... ไม่ได้อยากไปหรอกครับ เพราะยังอ่านตำราไม่รู้เรื่องเลย..
พิสูจน์สมการยากจัด
แต่ที่ไปบ่อยเพราะอาจารย์เรียกพบบ่อย .. บ่อยมาก ..
วันธรรมดา 1 วันต่อสัปดาห์ แล้วยังจะให้ไปวันเสาร์เพิ่มอีก 1 วัน
ไปเจอกันเพื่อทำสิ่งที่อาจารย์เรียกว่า สัมมนา
ที่จริงไม่เห็นเป็นการสัมมนาตรงไหน
เพราะอาจารย์สั่งให้ไปอ่านตำรามา เพื่อพูดให้อาจารย์ฟัง
แล้วอาจารย์กลับนั่งหลับบ้าง คุยโทรศัพท์มือถือบ้าง.. ไม่สนใจคนพูดเลย
นี่ยังไม่นับทีเด็ดของอาจารย์อีกอย่าง คือธุรกิจรัดตัว
อาจารย์ ฮ. (นามสมมติ) เนี่ย เป็นคนที่มาสายได้ตลอดทุกครั้งที่นัด
บางทีก็แกล้งลืม แต่พอผมมาสายบ้างอาจารย์ก็ดันมาตรงเวลาซะนี่..
ช่วงนั้นผมเริ่มรวบรวมน้ำหนักเหตุผล ในการจะขอเปลี่ยนหัวข้อโปรเจ็ค
และแน่นอน เปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษา..
1. หัวข้อโปรเจ็คเป็นเรื่องที่ไม่ชอบ เป็นการเข้าใจผิดแต่แรกอย่างที่บอก
2. รู้สึกว่าอาจารย์จะไม่ถูกใจผม เพราะคิดว่าไปเกาะผู้หญิงเอาตัวรอด
3. ผมไม่ถูกใจอาจารย์ เพราะนัดบ่อย นัดตามใจชอบ แล้วดันมาสายเป็น ช.ม.ๆ
4. มีลางสังหรณ์ว่าอาจารย์จะทำให้โปรเจ็คผมล่ม...
เพราะอาจารย์ไม่ระบุเป็นเรื่องเป็นราว ว่าให้ทำอะไร ..เอาแต่ให้อ่านตำราๆ
เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ แล้วแบบนี้หมดปีจะได้อะไรไปส่งไหมเนี่ย..
เหตุผลที่ผมเอาไปใช้ มันข้อแรกข้อเดียวนะครับ
ที่เหลือขืนพูดไปผมโดนฆ่าแน่.. ข้อที่เหลือมีไว้เพิ่มน้ำหนัก
และเพิ่มความกล้าในการตัดสินใจของผมส่วนตัวเท่านั้นแหละ
... และแล้วในที่สุด ผมก็ได้หัวข้อใหม่ อาจารย์ใหม่ เป็นที่ถูกใจยิ่งนัก..
แม้จะไม่เลิศเลอเพอร์เฟ็ค แต่ก็ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างชัดๆ เลย..
ผมย้ายมาทำโปรเจ็คเรื่อง MPEG-4 Videoconference ครับ..
แปลว่า สิ่งที่ผมจะต้องทำให้เสร็จก่อนกำหนดส่ง ก็คือ
โปรแกรมที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ คล้ายๆ Netmeeting
คือเอาไว้ใช้คุยกันระหว่าง 2 ฝั่ง แบบเห็นหน้าและได้ยินเสียงอ่ะแหละ
แต่ว่าผมต้องเปลี่ยนมาตรฐานวีดิโอจากเดิม (H.263)
ให้เป็น MPEG-4 ซึ่งคุณภาพดีขึ้น ... ก็แค่นั้นเองครับ..
(อ้อ และก็ไม่ได้ทำเกี่ยวกับเสียงนะครับ.. ยังเป็นคุยแบบใบ้ๆ อยู่)
มันฟังดูเป็นเรื่องง่าย ..น่าจะทำแป๊บเดียวเสร็จ
แต่ที่จริงผมไม่เก่งขนาดนั้นน่ะสิครับ
ผ่านมาเทอมนึงแล้ว จะเปิดเทอม 2 อยู่แล้ว
ภาษา Visual C ยังไม่รู้เรื่อง และโปรแกรมยังไม่เริ่มเขียนเลยซักแอะ..
ต้องรู้เรื่องการติดต่อ Hardware, การติดต่อ Codec, และการติดต่อ Network
โอ้โห ครบครัน.. เรียกว่าถ้าทำเสร็จก็กลายเป็นโปรแกรมเมอร์เต็มตัวไปเลย..
.. เหงื่อตก ..
... เคราะห์กระหน่ำกรรมซัด อาจารย์เอาหัวข้อโปรเจ็คนี้ไปเสนอ
เพื่อแสดงในงานนิทรรศการ (จุฬาวิชาการ) ในวันที่ 6-9 ธันวาคมนี้
แล้วดันผ่านการคัดเลือกเฉยเลย..
เพื่อนที่เป็นคนวงใน ทำงานคณะ ..มาบอกผมด้วยสีหน้ายินดี
ว่าในจำนวน 8 โครงงานไฮไลต์ ที่ได้โชว์น่ะ
มีโปรเจ็คจากเพื่อนๆ ภาคไฟฟ้า ถึง 4 โครงงาน
และหนึ่งในสี่นั้นก็คือโปรเจ็คมึงไง.. ฮ่ะๆๆ ดีใจด้วย
ผมดีใจไม่ออกหรอกครับ.. ไฮไลต์ของงานเรอะ..
เขาบอกว่า พอหัวข้อนี้ถูกเสนอขึ้นมาในที่ประชุม
กรรมการทุกคนยกมือเห็นชอบให้ผ่านเฉยเลย ไม่คิดมาก
ก็เพราะว่ามันดูสนุกแหละ เวลาเอากล้องมาโชว์มันคงน่าสนใจดี..
ไอ้ผมเองก็ เฮ้ย มึงเอามาจากไหนน่าสนใจน่ะ..
ในเมื่อตูยังไม่ได้เริ่มลงมือทำเลย.. หนึ่งเทอมที่ผ่านมาเรื่อยเปื่อยมาก
โชคยังดีที่มีรุ่นพี่ นิสิตปริญญาโทที่ทำหัวข้อเดียวกัน มาช่วยกันทำ..
...ตกลงก็แปลว่า แทนที่ผมจะค่อยๆ ทำให้เสร็จตามกำหนดการเดิม
คือ ส่งวันที่ 14 ก.พ. ปีหน้า ซึ่งเหลือเวลาอีกตั้งเกือบ 4 เดือนนั้น
กลายเป็นต้องทำให้เสร็จก่อนงานนิทรรศ..
นับจากวันนี้ไปจนถึง 6 ธ.ค. วันแสดงผลงาน ก็แค่ 6 สัปดาห์เอง..
... ซวยแล้วตู ...
คิดได้ดังนั้น สองสามวันมานี้ผมรีบศึกษา Visual C ใหญ่เลย
นั่งหน้าจอคอมจนหน้ามันแผล่บทั้งวัน..
วันนี้พอจะแปลโค้ดที่พี่เค้าเริ่มเขียนไว้ออกแล้ว..
ทีแรกตั้งใจจะแยกกันทำ เพราะผมอยากทำเองทั้งหมด
แต่ดูๆ ไปชักไม่ไหวว่ะ..
..ตอนนี้เอาเหอะ.. วิกฤตแล้ว.. อะไรก็ได้แล้ว..
ช่วยกันทำก็ได้.. : ]
... พี่เค้าเขียนโปรแกรมให้แสดงภาพจากกล้อง มาออกหน้าจอได้
ทีนี้งานต่อไปที่ผมจะทำคือ เอาภาพนั้นไปผ่านตัวเข้ารหัส
บีบเป็น MPEG-4 ก่อนแล้วค่อยออกหน้าจอ..
ส่วนพี่เค้ากะลังเขียนเกี่ยวกับการรับส่งข้อมูลผ่านโครงข่ายพอดี
ถ้าเราสองคนทำเสร็จเร็ว ภายในอาทิตย์สองอาทิตย์นี้
แล้วเอาสองส่วนมารวมกันได้เรียบร้อย.. ก็จะเหลือเวลาอีกเหลือเฟือ..
เฮ้อ..
.. ผมจะทำได้สำเร็จหรือไม่ โปรดติดตาม..
(( ตอนต่อไปของโปรเจ็ค ผมจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับ MPEG ครับ ))
นวย