ตกใจมากเหมือนกันตอนได้รู้ข่าวแต่เช้า ว่าน้องเกี๊ยกตายแล้ว
น้องเกี๊ยกประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่คืนวันศุกร์
น้องเกี๊ยกเป็นรุ่นน้องที่เพิ่งรู้จักกันได้ 2 เดือนกว่าเอง
เขาเรียนอยู่ปี 2 ภาคเคมี กรุ๊ป L ครับ
ตั้งแต่เปิดเทอมมานี้ผมสนิทสนมกับน้องๆ กรุ๊ป L เป็นพิเศษ
ก็ด้วยคนรู้ใจที่อยู่ภาคเคมี ปี 2 กรุ๊ป L เช่นเดียวกับน้องเกี๊ยกนั่นแหละ
ผมไม่ทราบเรื่องราวมากนักว่าอุบัติเหตุมันเกิดอย่างไร
ตอนเช้าลงรถเมล์หน้าประตูคณะวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ได้เอะใจว่า
พื้นฟุทบาธที่แตกออกเป็นกองคอนกรีตย่อมๆ นั้นมันเกิดจากอุบัติเหตุ
นึกว่ามีใครมาเจาะถนนหรือยังไง
ผมไม่ได้สังเกตรอยสเปรย์สีขาวรูปตัวคน --น้องเกี๊ยก?? บนพื้นถนนด้วยซ้ำ
ไอ้เกี๊ยกมันเป็นคนดี
ถึงจะรู้จักกันได้ไม่นาน ผมก็ยังสรุปได้อย่างนี้
ดูจากลักษณะแล้ว เกี๊ยกมันเป็นคนสุภาพ สนุกสนาน และน่าคบ
ไม่แปลกใจเลยที่ในงานศพคืนนี้จะมีคนมาอย่างล้นหลาม
ทั้งเพื่อนในกรุ๊ป L เพื่อนในภาคเคมี เพื่อนจาก ร.ร.เก่า รุ่นพี่จาก ร.ร.เก่า (วัดสุทธิ)
รวมทั้งตัวแทนจากคณะผมอีกจำนวนหนึ่ง
ผมไม่สนิทกับเกี๊ยกมากพอถึงขนาดจะร้องไห้ได้ในสถานการณ์อย่างนี้
แต่ภาพของน้องเอ๊กซ์เพื่อนสนิทเกี๊ยก (ตั้งแต่มัธยมจนปัจจุบัน)
ที่ไปยืนเคาะๆ โลง พูดอะไรอยู่ (กับเกี๊ยก) และก็ร้องไห้ร้องไห้..
ทำให้ผมน้ำตาร่วงอีกแล้ว
ผมเศร้าแทนเอ๊กซ์
เอ๊กซ์คงจะนึกแต่ว่า ทำไมวะ ทำไมวะ ทำไมต้องเป็นไอ้เกี๊ยก
เกี๊ยกมันนั่งอยู่เบาะหลังตรงกลางแท้ๆ แต่กลับมาตายคนเดียว
ทั้งที่คนอื่นๆ แทบไม่เป็นอะไรสักนิด
สายตาผมมองโลงศพสีขาวขอบทองตรงหน้า
วูบหนึ่งผมนึกภาพว่าถ้าเพื่อนสนิทผมมานอนอยู่ตรงนี้
เป็นการนอนหลับแบบไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีกแล้ว
ความเป็นไปของเขา เสียงของเขา จะหายไปจากโลกนี้แบบทันใดตั้งแต่วันนี้
ผมคงแทบจะเป็นบ้าไปเหมือนกัน
กลับจากงานศพคืนนี้ผมมั่นใจในความเชื่อ 2 ข้อนี้เพิ่มขึ้น
1. ชีวิตคนเรานี่มันเป็นไปตามที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ฝืนไม่ได้
ดำเนินชีวิตไปตามทางนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะเลือกได้ก็พอ
2. คนเราความตายมันใกล้แค่เอื้อมนะ
ผมก็เคยมีประสบการณ์เฉียดตายมาแล้วเหมือนกัน
ผมถึงเข้าใจว่า ไม่จำเป็นต้องไปเบียดเบียนเอาชนะกันให้มันมากมายเลย
สุดท้ายเดี๋ยวก็ตายเหมือนกันหมด
มีชีวิตอยู่ทุกวัน ก็ทำให้คนอื่นมีความสุขและเราเองมีความสุข
เท่านี้คงพอแล้ว..
นวย